ทริสเรทติ้งทบทวนอันดับเครดิตเดิม “สยามพาณิชย์ลีสซิ่ง” และจัดอันดับหุ้นกู้ชุดใหม่ที่ระดับ “A-/Stable”

02 Mar 2005

กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--ทริสเรทติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ยืนยันผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท สยามพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน และอันดับเครดิตตั๋วแลกเงินในปัจจุบันของบริษัทในระดับเดิมที่ “A-” ในขณะเดียวกันได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน 4,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” เช่นกัน อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดเช่าซื้อรถยนต์และประสบการณ์ของคณะผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนด้วยการแข่งขันที่รุนแรงเนื่องจากการเข้าสู่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ของบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อในเครือของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และการเข้าสู่ตลาดเช่าซื้อทั้งรถยนต์ใหม่และรถยนต์เก่าของบริษัทเงินทุน

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความสามารถในการดำรงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดและสามารถรักษาระดับการขยายตัวของสินเชื่อต่อไปได้ตามความคาดหมายของทริสเรทติ้ง การมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และกระบวนการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่ระมัดระวังจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาปริมาณหนี้ค้างชำระในระดับที่ยอมรับได้แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2547 เมื่อเทียบกับปี 2546 ก็ตาม ทริสเรทติ้งรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2548 ทริสเรทติ้งได้จัดอันดับเครดิตระดับ “A-” ให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,500 ล้านบาทของบริษัทสยามพาณิชย์ลีสซิ่ง หลังจากนั้นบริษัทได้เพิ่มวงเงินหุ้นกู้ดังกล่าวเป็น 4,000 ล้านบาท ในการนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระคืนหุ้นกู้มูลค่ารวม 3,250 ล้านบาทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมีนาคมและพฤษภาคม 2548 ส่วนที่เหลือจะใช้ในการขยายสินเชื่อ บริษัทได้เงินเพิ่มทุนจำนวน 551 ล้านบาทจากการใช้สิทธิแปลงภาพใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นในเดือนธันวาคม 2547 โดยเงินทั้งหมดใช้ไปในการขยายสินเชื่อ สินเชื่อรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 28.1% ในปี 2547 โดยเพิ่มจาก 29,152 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2546 เป็น 37,341 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2547 แม้อัตราการเติบโตในปี 2547 จะน้อยกว่าในปี 2546 ที่ระดับ 36.2% แต่ก็อยู่ในระดับที่ทริสเรทติ้งคาดไว้ตามอัตราการการเติบโตที่ลดลงของอุตสาหกรรมรถยนต์ กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น 8.8% ในปี 2547 มาอยู่ที่ 849 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้าแม้จะไม่มากเหมือนช่วง 3 ปีที่ผ่านมาก็ตาม บริษัทคาดว่าจะสามารถขยายสินเชื่อรวมให้สอดคล้องไปกับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10%-15% ในปี 2548 ได้--จบ--