ทีเอฟดี คาดสิ้นปี47กำไรโตขึ้นกว่า 200% ผลจากการลงทุนต่อเนื่องทั้งขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์

14 Jul 2004

กรุงเทพฯ--14 ก.ค.--โอเอซิส มีเดีย

TFD หวนคืนบัลลังก์ คาดผลประกอบการปีนี้พลิกกำไรประมาณ 120 ล้านบาท โตขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 200% TFD ได้แจ้งที่มาประมาณการกำไรแบบก้าวกระโดดว่าเป็นผลจากการเดินหน้ารุกขยายการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งจากการขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ที่สอดคล้องกับปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าว

นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TFD เปิดเผยว่าจากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวม ที่ส่งผลเชิงบวกต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตนั้น ได้ส่งผลดีต่อบริษัทฯที่ประกอบธุรกิจหลัก คือการสร้างโรงงานเพื่อขายหรือให้เช่า ทำให้มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นตามไปด้วย บริษัทฯคาดการณ์ว่าผลประกอบการสิ้นปี 2547 จะพลิกกลับมีกำไรประมาณ 120 ล้านบาท เท่ากับเติบโตขึ้นกว่า 200 % โดยเทียบกับผลประกอบการปี 2546 ซึ่งขาดทุนประมาณ 50 ล้านบาท ทั้งนี้เพราะมีแรงขับจากปัจจัยบวกหลายด้านในระบบเศรษฐกิจ ประกอบกับบริษัทได้ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้านอื่นๆ ทั้งเพื่อขายและให้เช่าด้วย

เปรียบเทียบผลประกอบการของบริษัทฯ ในปี 2546 ที่ผ่านมา มีรายได้จากการขาย 195.8 ล้านบาท รายได้จากค่าเช่าและบริการ 132.5 ล้านบาท รายได้อื่นๆ 10.3 ล้านบาท รวมมีรายได้ 338.6 ล้านบาท สรุปผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 49.4 ล้านบาท เกิดจากการขายทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในช่วงปลายปีดังกล่าว สำหรับประมาณการปี 2547 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 1,000 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้จากโครงการเลคกรีน คอนโดมิเนียม 600 ล้านบาท จากการขายโรงงานประมาณ 200 ล้านบาท รายได้จากค่าเช่าและบริการประมาณ 200 ล้านบาท คิดเป็นอัตรารายได้ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 200 %

การประมาณการเพิ่มขึ้นของรายได้ปี 2547 วิเคราะห์จากเหตุผลของปัจจัยภายในและภายนอกของบริษัทที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม กล่าวคืออัตราดอกเบี้ยที่เอื้ออำนวยต่อภาคอุตสาหกรรมการลงทุนและมีอุตสาหกรรมที่เติบโตตามแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิค และอุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งเป็นการส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทฯโดยตรง ทั้งนี้เพราะบริษัทฯได้วางแผนขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไว้แล้ว อาทิ

  • การซื้อคืนโรงงานสำเร็จรูปพร้อมที่ดินที่ได้ขายให้กองทุน Orchid Funds ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ทรัพย์สินของบริษัทฯเพิ่มมากขึ้น และการรับรู้รายได้ของบริษัทฯสูงขึ้นตามไปด้วย โดยบริษัทฯสามารถรับรู้รายได้ทันทีที่ได้โอนกรรมสิทธิ์มา เพราะปัจจุบันพื้นที่โรงงานดังกล่าวมีผู้เช่าพื้นที่อยู่แล้วประมาณ 95 % มีผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 15 % ต่อปี
  • ในส่วนการลงทุนประเภทอื่นๆ ประกอบด้วย การลงทุนกิจการอพาร์ทเม้นท์ Princeton Park Suites ขนาด 270 ห้องย่านดินแดง มีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ โดยมีอัตราการจองห้องพักเฉลี่ยต่อเดือนถึง 70-80 % โครงการคอนโดมิเนียม Lake Green ที่สุขุมวิทซอย 8 ขณะนี้สามารถขายได้แล้วประมาณ 75-80 % คาดการณ์ว่าจะปิดการขายได้ภายในปีนี้และสามารถรับรู้รายได้ได้ทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งนิติบุคคลอาคารชุด และจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้
  • สำหรับบริษัท Total Industrial Services จำกัด (TISCOM ) ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระหว่าง TFD , การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และกองทุนรวมเพื่อร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในสัดส่วน 51:35 :14 ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจัดสร้างโรงงานให้เช่าในพื้นที่ของ กนอ. ทั่วประเทศ ให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก ( SMEs ) โครงการแรกที่ดำเนินการ คือ การก่อสร้างโรงงานในที่ดินนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังจำนวน 23 โรงงาน ซึ่งสามารถสร้างเสร็จช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ และ TFD สามารถจะรับรู้รายได้จาก TISCOM ซึ่งเป็นบริษัทลูกด้วย ถึง 51 % เพราะปัจจุบันมีผู้เช่าเข้าชื่อจองพื้นที่แล้ว 50 % คาดว่าจะมีผู้เช่าส่วนที่เหลือทั้งหมดภายในสิ้นปี 2547

ประธานกรรมการบริหารได้กล่าวเสริมอีกว่า ปี 2547 รายได้ของบริษัทฯจะขยายตัวค่อนข้างสูง เป็นเพราะโครงการที่ลงทุนในปีก่อนหน้านี้ก่อให้เกิดรายได้ขึ้นในปีนี้และสามารถทะยอยรับรู้เป็นรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TISCOM เป็นโครงการที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต ทั้งนี้เพราะกนอ. มีที่ดินไว้รองรับการพัฒนาอยู่ทั่วประเทศ เพื่อสนองนโยบายของรัฐที่ให้การส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรม SMEs รวมทั้งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ในขณะที่ตลาดเงินยังคงมีอัตราดอกเบี้ยต่ำ และความต้องการพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการประสานงานกับกนอ. ในการดำเนินโครงการโรงงานเอื้ออาทร คาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในปลายปีนี้

แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องตามภาวะการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม

ในขณะที่คู่แข่งขันบริษัทฯในตลาดยังมีน้อย ธุรกิจหลักของบริษัทฯ คือ การสร้างโรงงานเพื่อขายและปล่อยให้เช่า ในสัดส่วน 40:60 นอกจากนี้บริษัทฯยังรับเหมาก่อสร้างโรงงานให้ลูกค้าตามความต้องการของลูกค้าอีกด้วย ด้วยประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจนี้ย่างเข้าปีที่ 28 และคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ บริษัทฯคาดการณ์ว่าจากการลงทุนและขยายฐานทางการตลาด บริษัทฯจะมีรายได้มากกว่าเดิมและมั่นคงขึ้น ทั้งจากการขายและให้เช่าในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพของบริษัท นอกจากนี้บริษัทฯยังได้ศึกษาโครงการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งเป็นไปอย่างระวังรอบคอบ ทั้งนี้เพื่อโอกาสในการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่บริษัทฯจะไม่ได้รับผลกระทบหากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ เนื่องจากตระหนักดีถึงภาพวิกฤตเศรษฐกิจในปี 40 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยรวมเป็นบทเรียนสำคัญ

ข้อมูลเพิ่มเติม บริษัท โอเอซิส มีเดีย จำกัด : กรุณาติดต่อ ศรัญญรัตน์ สุวรรณคาม / ชัชวาล ตรีเนตร

โทรศัพท: 0-2937-4000-9 ต่อ 2068 หรือ 0-2937-4658 ,0-2937-4735 ต่อ 15-17

e-mail : [email protected] ; [email protected]จบ--

--อินโฟเควสท์ (พห)--

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit