กรุงเทพฯ--8 ต.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ยืนยันผลอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกัน 1,000 ล้านบาท (TANI078A) ของ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ซึ่งสะท้อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดรถยนต์ภายในประเทศ ประสบการณ์ของผู้บริหารในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง และสัมพันธภาพที่ดีและยาวนานกับผู้จำหน่ายรถยนต์ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนด้วยการแข่งขันที่รุนแรงจากการเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองของบริษัทเงินทุนและบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อขนาดใหญ่โดยใช้กลยุทธ์การตัดราคา นอกจากนี้ การให้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงหลักทรัพย์ค้ำประกันที่ใช้บัญชีลูกหนี้ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ค้างชำระไม่เกิน 2 เดือนในอัตราส่วน 135% ของมูลค่าหุ้นกู้ด้วย ทั้งนี้ หากสินเชื่อดังกล่าวมีไม่เพียงพอ บริษัทจะต้องดำรงเงินสดหรือตั๋วเงินไว้เป็นหลักประกันในอัตรา 100% ของมูลค่าหุ้นกู้ในส่วนที่มูลค่าหลักประกันคุ้มครองไม่เพียงพอ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการที่บริษัทจะยังคงสามารถรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันและการทำกำไรเอาไว้ได้ โดยต้นทุนทางการเงินที่ลดลงหลังจากการออกหุ้นกู้ช่วยสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันของบริษัท นอกจากนี้ รายได้อื่นๆ จากการให้บริการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องยังช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ยังเป็นประเด็นที่ทริสเรทติ้งกังวล ซึ่งหากสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ก็อาจส่งผลด้านลบต่ออันดับเครดิต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า เนื่องจากในช่วงปี 2546-2547 การแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่รุนแรงกว่าธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง บริษัทเงินทุนและบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่จึงหันมาให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองมากขึ้นเพราะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นส่งผลให้ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อของรถยนต์ใหม่และรถยนต์มือสองน้อยลง สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองต้องมีกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายที่อยู่ในระดับสูงเพื่อให้เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงที่มีมากกว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ และเนื่องจากบริษัทราชธานีลิสซิ่ง มีต้นทุนทางการเงินที่สูงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบริษัทเงินทุน บริษัทจึงไม่เน้นการแข่งขันในด้านราคา แต่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แทน นอกจากนี้ บริษัทยังพยายามเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบริการอื่นๆ ด้วย เช่น รายได้จากค่านายหน้าประกันภัยรถยนต์ และค่าบริการต่อทะเบียนภาษีรถยนต์ เป็นต้น
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์มือสองในเขตกรุงเทพฯ ที่แข่งขันกันรุนแรงยิ่งขึ้นทำให้บริษัทราชธานีลิสซิ่งขยายขอบเขตบริการไปยังปริมณฑล เช่น อยุธยา นครปฐม และปทุมธานี ผู้บริหารและพนักงานงานที่มีประสบการณ์ยาวนานในการประเมินคุณภาพและมูลค่ารถยนต์เก่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัท เนื่องจากสามารถกำหนดจำนวนสินเชื่อที่จะอนุมัติให้แก่ผู้เช่าซื้อรถยนต์แต่ละรายในระดับที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการขาดทุนในกรณีที่ต้องมีการยึดและจำหน่ายรถยนต์ออกไป นอกเหนือจากการแข่งขันในด้านราคาแล้ว ความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับผู้จำหน่ายรถยนต์มือสองและความรวดเร็วในการพิจารณาสินเชื่อยังเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทด้วย ก่อนปี 2546 นอกจากรายได้จากดอกเบี้ยเช่าซื้อแล้ว บริษัทยังมีรายได้เบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระซึ่งคิดเป็น 10.6% ของรายได้รวมด้วย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2546 บริษัทให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดเก็บหนี้มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระ และเพื่อลดอัตราส่วนของสินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้ต่อสินทรัพย์รวมให้มีน้อยที่สุด ส่งผลให้สัดส่วนรายได้เบี้ยปรับจากการผิดนัดชำระลดลงมาอยู่ที่ 4.8% ของรายได้รวมในปี 2546 ในขณะที่บริษัทมีรายได้จากค่าบริการเพิ่มขึ้นจาก 1.3% ในปี 2544 เป็น 8.5% ในปี 2545 และ 9.7% ในปี 2546
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 ที่ให้มีการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ส่งผลให้รถยนต์ใหม่โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 2,000 ซีซี) มีราคาขายเฉลี่ยลดลงประมาณ 5% ซึ่งทำให้ราคาขายรถยนต์มือสองในขนาดเดียวกันมีราคาลดลงในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้จะกระทบต่อผู้จัดจำหน่ายรถยนต์มือสองมากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีรถยนต์มือสองรุ่นเดียวกับรถยนต์ใหม่ที่มีราคาลดลงอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ในส่วนของผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อเช่นบริษัทราชธานีลิสซิ่ง นั้น การมีเงินดาวน์ซึ่งปกติจะไม่ต่ำกว่า 15% ยังช่วยป้องกันการเกิดผลขาดทุนจากการขายรถยนต์หากต้องยึดรถมาแล้วจำหน่ายออกไป ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--
--อินโฟเควสท์ (นท)--
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit