ทีเอรายงานผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือน ปี 2546 โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10% และ EBITDA รวมเพิ่มขึ้น 15%

11 Nov 2003

กรุงเทพฯ--11 พ.ย.--ทีเอ

บริษัท เทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ ได้รายงานผลการดำเนินงาน โดยมีรายได้รวม ((รวมทีเอ ออเร้นจ์) ในงวด 9 เดือนสิ้นสุด 30 กันยายน 2546 เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 10.1 จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็น 20.6 พันล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากทีเอ ออเร้นจ์ มีรายได้เพิ่มขึ้น

ทีเอ ออเร้นจ์ มีผลประกอบการที่คุ้มทุน ณ ระดับ EBITDA (กำไรจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย) เป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2546 ส่งผลให้ EBITDA รวมสำหรับงวด 9 เดือน ของบริษัท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 14.7 เป็น 8.5 พันล้านบาท

รายได้ในไตรมาสนี้ของบริษัท (รวม ทีเอ ออเร้นจ์) เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 4 เป็น 6.8 พันล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยธุรกิจบริการโทรศัพท์พื้นฐานมีรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 3.9 เป็น 4.2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากบริการโทรศัพท์สาธารณะ ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 19.4 รายได้จากบริการโครงข่ายข้อมูลดิจิตอล (Digital Data Network - DDN) บริการอินเตอร์เน็ต และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากบริการอินเตอร์เน็ต ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 140.7

หากไม่นับรวม ทีเอ ออเร้นจ์ รายได้ในไตรมาสที่ 3 ลดลงเล็กน้อยในอัตราร้อยละ 2.4 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเป็น 5.6 พันล้านบาท และรายได้รวมสะสมในงวด 9 เดือนลดลงในอัตราเดียวกัน เป็น 17.0 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของรายได้จากบริการโทรศัพท์พีซีที และธุรกิจอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจหลัก เช่น ธุรกิจรับเหมาติดตั้งโครงข่ายโทรศัพท์

อย่างไรก็ตามบริษัทประสบความสำเร็จในการรักษาฐานลูกค้าของบริการโทรศัพท์พีซีที โดยจำนวนลูกค้าพีซีทีได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ จำนวน 1,880 ราย ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทได้มุ่งเน้นโปรแกรมต่างๆ เพื่อรักษาลูกค้า (win-back programs) รวมทั้งได้จัดทำกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร กล่าวว่า "ผลประกอบการของบริษัทได้สะท้อนกลยุทธ์ในการควบคุมค่าใช้จ่าย และเพิ่มอัตราการทำกำไร เพื่อชดเชยการลดลงของรายได้ ในขณะที่ทีเอยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจที่มีการเติบโตสูง เช่น บริการอินเตอร์เน็ต และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) และบริการ Non-Voice ต่างๆ" ค่าใช้จ่ายโดยรวมในไตรมาสนี้ (ไม่รวม ทีเอ ออเร้นจ์) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียงร้อยละ 1.2 เป็น 5 พันล้านบาท ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉพาะรายการเงินสด (ไม่นับรวมค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย) ลดลงในอัตราร้อยละ 3.9 เป็น 2.7 พันล้านบาท

EBITDA จึงค่อนข้างคงที่ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ระดับ 2.9 พันล้านบาท โดยมีอัตราการทำกำไร (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้น เป็นอัตราร้อยละ 52.0 จากอัตราร้อยละ 51.2

หากรวม ทีเอ ออเร้นจ์ ค่าใช้จ่ายโดยรวมในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว เป็น 6.8 พันล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉพาะรายการเงินสด (ไม่นับรวมค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย) ลดลงในอัตราร้อยละ 3.5 เป็น 4 พันล้านบาท

ดังนั้นจึงมีผลให้ EBITDA (รวมทีเอ ออเร้นจ์) ในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 17.0 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 2.8 พันล้านบาท โดย EBITDA Margin เพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 41.4 จากอัตราร้อยละ 36.8 ทั้งนี้เนื่องจากทีเอ ออเร้นจ์ มีผลประกอบการที่ดีขึ้น

บริษัทได้รับรู้รายได้จากทีเอ ออเร้นจ์จำนวน 1.2 พันล้านบาท ในไตรมาสนี้ นับเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปี 2545 ในอัตราร้อยละ 53.3 แต่มีจำนวนลดลงจากไตรมาสที่แล้วในอัตราร้อยละ 10.2 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลดลงของรายได้จากการขายสินค้า

อย่างไรก็ตาม บริษัทรับรู้ผลขาดทุน EBITDA จาก ทีเอ ออเร้นจ์ ลดลงเป็น 98 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 นี้ เปรียบเทียบกับผลขาดทุน EBITDA จำนวน 154 ล้านบาทในไตรมาสที่แล้ว ทั้งนี้เนื่องจาก ทีเอ ออเร้นจ์ มีค่าใช้จ่ายลดลง โดยส่วนใหญ่เป็นต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและการส่งเสริมการตลาด

ในไตรมาสนี้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิโดยรวมจำนวนประมาณ 1.5 พันล้านบาท เปรียบเทียบกับผลขาดทุนจำนวน 1.4 พันล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2545 และผลขาดทุนจำนวน 847 ล้านบาทในไตรมาสที่แล้ว

ผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน โดยในไตรมาสนี้ค่าเงินบาท เปรียบเทียบกับเงินสกุลเยน ได้อ่อนตัวลง ทำให้บริษัทมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 306 ล้านบาท ในขณะที่ มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 262 ล้านบาท ในไตรมาสที่แล้ว

นายวิลเลี่ยม แฮริส หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (CFO) กล่าวว่า "บริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงงบดุลอย่างต่อเนื่อง โดยได้ลงนามในสัญญาเงินกู้ฉบับใหม่วงเงิน 21.4 พันล้านบาท กับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินในประเทศจำนวน 11 แห่ง เพื่อใช้คืนเงินกู้สกุลบาทเดิมจำนวนเท่ากัน"

นายวิลเลี่ยม แฮริส กล่าวเพิ่มเติมว่า "การลงนามในสัญญาดังกล่าวมีขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว โดยจะมีผลให้บริษัทสามารถลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงได้ปีละประมาณ 200 ล้านบาท รวมทั้งขยายระยะเวลาในการชำระหนี้ออกไป และทำให้บริษัทมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น นอกจากนี้ กระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมีความพร้อมสำหรับโอกาสต่างๆ ที่จะมีขึ้น รวมทั้งมีความพร้อมสำหรับการเข้าสู่ตลาดที่จะมีการเปิดเสรีต่อไป"

ในท้ายที่สุดนายศุภชัย กล่าวถึงกลยุทธ์ "TA group synergy" ที่ได้ประกาศไปเมื่อเร็วๆ นี้ว่า "ความร่วมมือกันทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด ระหว่างทีเอกับ TA Orange และ UBC โดยมีแนวคิดว่าการดำเนินงานหลายๆ ด้านมีส่วนคล้ายกัน หรือสามารถสนับสนุนกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการ พื้นที่บริการ โครงข่าย หรือ ด้าน IT ดังนั้น การแสวงหาโอกาสที่จะผสานความร่วมมือระหว่างบริการโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และเคเบิ้ลทีวี นั้นจะทำให้กลุ่มเทเลคอมเอเซียสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการลงทุน และโครงสร้างพื้นฐานลง รวมทั้งสามารถนำเสนอบริการที่ดีกว่าให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น"

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทีเอ 105 (10/11/2546)

โทร. 0-2699-2918 , 0-2643-9691 กด 2--จบ--

-รก-

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit