สนช.จับมือหลายหน่วยงานอบรมกลุ่มเกษตรกรผลิตผักปลอดภัยสารพิษป้อนตลาดอาหารเพื่อสุขภาพ

26 Dec 2003

กรุงเทพฯ--26 ธ.ค.--กทม.

นายชาญชัย ภาวสุทธิการ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาชุมชน กทม.เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีมีสุข โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยในสุขภาพอนามัย กรุงเทพมหานคร โดยสำนักพัฒนาชุมชน (สนช.) จึงได้ดำเนินการส่งเสริมอย่างต่อเนื่องให้เกษตรกรในพื้นที่ 27 เขตชั้นนอกของกทม. ทำการเกษตรแผนใหม่ปลอดสารเคมีเป็นพิษ โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติในกระบวนการผลิตและบำรุงรักษา สำหรับในครั้งนี้ สนช. ได้ส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรปลูกผักปลอดภัยสารพิษ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรของสำนักงานเขตที่เกี่ยวข้อง จำนวน 100 คน ได้เรียนรู้และศึกษาเทคนิควิธีในการผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษที่ทันสมัยและถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยจัดอบรมระหว่างวันที่ 18-19 และ 25 ธ.ค.46 ณ ห้องประชุมสำนักพัฒนาชุมชน เขตปทุมวัน และวันที่ 26 ธ.ค.46 ณ จังหวัดสุพรรณบุรี

ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาชุมชน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับวันที่ 18-19 และ วันที่ 25 ธ.ค.46 เป็นการอบรมสัมมนาเชิงวิชาการ ซึ่ง สนช. ได้เชิญนักวิชาการจากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข รวมทั้งเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จ ร่วมให้ความรู้และคำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการจัดการเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช, การผลิตพืชผักเพื่อให้ได้อาหารปลอดภัยจากสารพิษ และหลักการปฏิบัติในการเข้าสู่มาตรฐานความปลอดภัยอาหาร นอกจากนี้ ในวันที่ 26 ธ.ค.46 จะนำผู้เข้าอบรมไปศึกษาดูงานวิทยาการสมัยใหม่ในการปลูกผักโดยไม่ใช้ดิน และเยี่ยมชมแปลงปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษ ตลอดจนกระบวนการเก็บและบรรจุผลผลิต ณ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานเกษตรจังหวัดสุพรรณบุรี

“การอบรมสัมมนาในครั้งนี้ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคยิ่งขึ้นในการบริโภคพืชผักปลอดภัยจากสารพิษจากกลุ่มเกษตรกรดังกล่าว ว่าเป็นพืชผักที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยอาหาร ซึ่งจะช่วยขยายตลาดให้กับกลุ่มเกษตรฯ มีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยสามารถหาซื้อผักปลอดภัยสารพิษของกลุ่มเกษตรกรดังกล่าวได้ที่ตลาดนัดในพื้นที่เขตของกลุ่มเกษตรกร ได้แก่ เขตหนองจอก , บางแค, หนองแขม, ภาษีเจริญ, คลองสามวา, สวนหลวง, ทวีวัฒนา และเขตตลิ่งชัน โดยสังเกตบรรจุภัณฑ์ถุงพลาสติกใสพิมพ์ ข้อความรับรองและตราสัญลักษณ์ของกทม. และกระทรวงเกษตรฯ พร้อมทั้งระบุรหัสประจำตัวเกษตรกรผู้ปลูก” ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาชุมชน กล่าว--จบ--

-นห-