กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--ธนชาติ
บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) ระดมเงินทุนด้วยการเสนอขายหุ้นกู้ 5,000 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยลอยตัว และหุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท จะเปิดให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปจองได้ประมาณวันที่ 25 – 28 มีนาคมนี้
นายปิยะพงศ์ อาจมังกร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 5,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาใช้ในการขยายธุรกิจและปรับโครงสร้างของแหล่งเงินทุนให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยจะเปิดให้นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปจองซื้อประมาณวันที่ 25–28 มีนาคม 2546
หุ้นกู้ บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) ที่จะเสนอขายในครั้งนี้มี 2 ชุด โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 มีอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยลอยตัว ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2553 และหุ้นกู้ชุดที่ 2 มีอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2551 หุ้นกู้ทั้งสองชุด เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกัน มีจำนวนรวมกันไม่เกิน 5 ล้านหน่วย โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท มูลค่ารวมกันทั้งสิ้น ไม่เกิน 5,000 ล้านบาท
หุ้นกู้ บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) ทั้งสองชุดได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (Fitch Ratings (Thailand) Co.) สำหรับเครดิตระยะยาวที่ระดับ A – (tha) โดยสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเงินทุนของบริษัทฯ รายได้ที่ปรับตัวดีขึ้น
“ภายใต้สภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ระดับต่ำและสภาพคล่องในระบบที่มีอยู่มากในปัจจุบัน คาดว่าหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุด จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป เพราะจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุน นอกเหนือจากการฝากเงินกับสถาบันการเงินและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” นายปิยะพงศ์ กล่าว
บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในบริษัทเงินทุนขนาดใหญ่เพียงไม่กี่บริษัทที่รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศที่เกิดขึ้นในปี 2540 เนื่องจากว่าบริษัทฯ สามารถป้องกันปัญหาการขาดสภาพคล่องที่มาจากการถอนเงินฝากและยังสามารถเพิ่มทุนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจ ธนชาติได้ขยายตัวทางด้านธุรกิจอย่างต่อเนื่องนอกเหนือจากธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์โดยมุ่งเน้นการให้บริการทางการเงินที่ครบวงจรโดยมีการจัดตั้งบริษัทประกันภัย บริษัทประกันชีวิต บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทบริหารสินทรัพย์ และธนาคารในท้ายที่สุด
ข้อมูลเพิ่มเติม
บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) มีกลยุทธที่จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร (Fully Integrated Financial Services)
โดยให้บริษัทในกลุ่มร่วมกันให้บริการทางการเงินด้านต่างๆ เนื่องจากจะเอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้าของธนชาติในการที่จะได้รับบริการทางการเงินที่ครบถ้วน หลากหลาย และสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถใช้บริการทางการเงินที่หลากหลายได้ในที่เดียว (One Stop Service) ซึ่งปัจจุบันบริษัทในกลุ่มได้ให้บริการทางการเงิน ดังนี้ธุรกิจทางด้านเงินทุนและธนาคาร ประกอบด้วย & # 61623; บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) ให้บริการด้านการเช่าซื้อ ลีสซิ่ง การรับฝากเงิน การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน & # 61623; ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ให้บริการด้านสินเชื่อ การให้กู้ยืมเงิน การรับฝากเงิน และการให้บริการธนาคารพาณิชย์อื่นๆธุรกิจหลักทรัพย์และการจัดการการลงทุน ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาติ จำกัด ให้บริการด้านการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วานิชธนกิจ & # 61623; บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาติ จำกัด ให้บริการด้านการจัดการกองทุนรวม การจัดการกองทุนส่วนบุคคล การจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพธุรกิจประกันภัย บริษัท ธนชาติประกันภัย จำกัด ให้บริการด้านการประกันอัคคีภัย การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง การประกันภัยรถยนต์ และ การประกันภัยเบ็ดเตล็ดธุรกิจประกันชีวิต บริษัท ธนชาติซูริคประกันชีวิต จำกัด ให้บริการด้านการประกันชีวิตในรูปแบบต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีบริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็น เอฟ เอส จำกัด และบริษัทบริหารสินทรัพย์ แม๊กซ์ จำกัด ประกอบธุรกิจรับซื้อและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
ปัจจุบันบริษัทฯ มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร และมีสำนักงานอำนวยสินเชื่อซึ่งให้บริการในเขตภูมิภาคในขณะนี้ 13 แห่งได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พิษณุโลก ชลบุรี อุดรธานี สงขลา ขอนแก่น นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครสวรรค์ และนครศรีธรรมราช ณ สิ้นปี 2545 งบการเงินรวมของบริษัทฯ มียอดสินทรัพย์ทั้งสิ้น 125,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 98,724 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2544 ส่วนของหนี้สิน 107,006 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 82,094 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2544 และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 18,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 16,629 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2544 กำไรสุทธิสำหรับปี 2545 มีจำนวน 1,723 ล้านบาทหรือคิดเป็น 1.29 บาทต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจากปี 2544 ที่มีจำนวน 549 ล้านบาทหรือคิดเป็น 0.41 บาทต่อหุ้น อัตราส่วนการดำรงเงินกองทุน (BIS Ratio) ตามงบการเงินเฉพาะของบริษัท คิดเป็นอัตราร้อยละ 13.29 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 8 ตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยมาก--จบ--
-พห/ศน-
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit