"ไทยเบตเตอร์ฟู้ดส์" แตกไลน์ธุรกิจส่งข้าวเจ้า ข้าวเหนียวสำเร็จรูปโกอินเตอร์

11 Apr 2003

กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--ไทยเบตเตอร์ฟู้ดส์

"ไทยเบตเตอร์ฟู๊ด" ผู้นำผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวอันดับหนึ่งของไทย ดันบริษัท เอเชี่ยนสุพีเรียฟู้ดส์ จำกัด ชูแบรนด์ "ไทย สไมล์" ในตลาดโลก หลังประสบความสำเร็จ Star Brand ในเอเชีย พร้อมจับมือ สวทช.พัฒนาข้าวเจ้า ข้าวเหนียวสำเร็จรูป ส่งขายทั่วโลก มั่นใจคุณภาพได้มาตรฐานหลัง สวทช.ช่วยวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์

นายวัฒนา มังคลรังษี กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยเบตเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากบริษัทประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจเส้นหมี่เริ่มมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ ซึ่งเป็นพ่อค้าพืชไร่ที่ได้ทำการค้าขายตั้งแต่บ้านโป่ง ภาคใต้ และเลยเข้าไปเปิดตลาดการค้ากับประเทศมาเลเซียตั้งแต่ 60 ปีที่ผ่านมา และได้จดทะเบียนขึ้นใหม่เป็น บริษัท ไทยเบตเตอร์ฟู๊ดส์ จำกัด แทนห้างหุ้นส่วนจำกัด เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2526 มานั้น ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิต" และ "ส่งออก"

เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่ และอาหารสำเร็จรูป ประเภท Ready to eat ภายใต้แบรนด์ " STAR BRAND" ด้วยคุณภาพของสินค้า และการบริการทำให้บริษัทได้รับความนิยมอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะผัดไทยกึ่งสำเร็จรูป ที่ผลิตได้เป็นเจ้าแรกในเมืองไทย โดยส่งขายให้กับลูกค้าที่ประเทศออสเตรเลีย ปรากฎว่าได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันเราส่งผัดไทยขายทั่วโลก เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 40 ตู้คอนเทรนเนอร์

แม้บริษัทจะประสบผลสำเร็จอย่างดีในการผลิตสินค้า แต่สิ่งหนึ่งที่บริษัทพยายามสร้างคือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่เสมอ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และจากการส่งผัดไทยกึ่งสำเร็จออกสู่ตลาดต่างประเทศจนประสบผลสำเร็จ แต่ก็พบว่าลูกค้าชาวตะวันตกทำก๋วยเตี๋ยวไม่เป็น ลูกค้าหลายรายบ่นว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวแข็งไปบ้าง อ่อนไปบ้าง ด้วยความที่ชาวตะวันตกไม่ถนัดและเคยชินกับอาหารประเภทนี้ทำให้รู้สึกยากลำบากับการประกอบอาหารชนิดนี้

เปิดบริษัทเอเชี่ยน สุพีเรียฟู้ดส์

แตกไลน์สินค้าอาหารสำเร็จรูป

ด้วยปัญหาดังกล่าวบริษัทเล็งเห็นว่าหากจะออกผลิตภัณฑ็ใหมสู่ท้องตลาดก็ควรเป็นสินค้าที่ต้องบริโภคได้ง่ายและสะดวก จึงริเริ่มทำก๋วยเตี๋ยวสุก ข้าวเจ้าสุก ข้าวเหนียวสุก แกงเขียวหวาน และแกงเผ็ดที่ใช้ทานคู่กับข้าว ด้วยการบรรจุในภาชนะนึ่งฆ่าเชื้อ และตรวจเช็คเชื้อในห้องแล็ปก่อน ทั้งนี้เพื่อให้สินค้าสะอาดปลอดเชื้อ และสามารถเก็บสินค้าได้นาน 1 ปี เมื่อสินค้าถึงมือผู้บริโภคก็สามารถฉีกเครื่องปรุงใส่เข้าไมโครเวฟนึ่งและกินได้ทันที รวมทั้งพัฒนาข้าวสารหุงสุกเร็วภายใน 3-4 นาทีเท่านั้น ซึ่งถือเป็นทางเลือกใหม่ที่สะดวก รวดเร็ว และน่าจะได้รับการตอบรับที่ดี แต่ต้องขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น จึงก่อตั้ง บริษัท เอเชี่ยน สุพีเรียฟู้ดส์ จำกัด ขึ้นในปี พ.ศ. 2543 ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท ผลิตสินค้าประเภทกึ่งสำเร็จรูปทั้งหลาย โดยถือเป็นบริษัทแรกในเมืองไทยที่ผลิตสินค้าประเภทนี้ส่งไปจำหน่ายในแถบตะวันตก

นายวัฒนา เล่าต่อว่า กว่าบริษัทจะสามารถผลิตสินค้าดังกล่าวได้ก็ต้องลองผิดลองถูกอยู่นาน เนื่องจากขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการวิจัยและพัฒนาอาหาร ประกอบกับบริษัทเคยขอรับความช่วยเหลือจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) มาก่อน จึงคิดว่าครั้งนี้น่าจะขอความช่วยเหลืออีกครั้ง เนื่องจากทาง สวทช.เองก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอาหารหลายท่าน จึงขอความช่วยเหลือจาก สวทช. ในโครงการ "ผลิตภัณฑ์และมาตรฐานการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวพร้อมเครื่องปรุงรสในรูปผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน" เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2545 - พฤศจิกายน 2545 ที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาบุคลากรและให้คำปรึกษาในการให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความเป็นกรดต่ำ บรรจุในบรรจุภัณฑ์อ่อนตัวและมีความพร้อมที่จะดำเนินการผลิต จนสามารถต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว และแกงเขียวหวาน และแกงแดง พร้อมรับประทานได้

ใช้"วิจัย-พัฒนา" เพิ่มมูลค่าสินค้า

ทั้งตัวผลิตภัณฑ์-บรรจุภัณฑ์

ด้านนางสาวพูนศรี จิรธนา ที่ปรึกษาเทคโนโลยีโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP)

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ทาง สวทช. ได้ส่ง อาจารย์ชิดชม ฮิรางะ ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าไปศึกษาระบบการทำงานในโรงงาน และฝึกอบรมภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ให้แก่บุคลากรของบริษัทที่รับผิดชอบในด้านการผลิต และควบคุมคุณภาพเส้นก๋วยเตี๋ยว และข้าวสุก รวมทั้งให้คำปรึกษาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานบรรจุถุง สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ผลิตอาหาร คือ เครื่องฆ่าเชื้อ Retort ชนิด Hot Spray Water ที่กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะจากประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างญี่ปุ่น เป็น ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่อยู่ในรูปของพลาสติกใส ทำให้มองเห็นผลิตภัณฑ์ และสินค้าดูน่ารับประทานขึ้น ที่สำคัญคือมีอายุการเก็บค่อนข้างนานคือ 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของพลาสติก สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้การบริโภคสะดวก รวดเร็ว และมีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้ด้วยน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ที่เล็กกระทัดรัดส่งผลให้การขนส่งสะดวกมากขึ้น และคาดว่าในอนาคตสินค้าประเภทนี้จะได้รับความนิยมมากขึ้นตามลำดับ

นายวัฒนา กล่าวต่อว่า แม้ว่าบริษัทจะเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้าแล้ว ราคาสินค้าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งมองข้ามไม่ได้ เพราะแม้สินค้าจะมีคุณภาพดีเพียงไรแต่ถ้ามีราคาแพงเกินไปก็ไม่สามารถแข่งขันได้ ฉะนั้นจึงต้องดูทิศทางของตลาดทั่วไปด้วย โดยข้าวสุกขนาดบรรจุ 180 กรัม ราคาประมาณ 125 บาท ทั้งนี้ปัจจุบันมีบริษัทมีออเดอร์ข้าวสุก ข้าวเหนียว พร้อมแกงเขียวหวาน และแกงเผ็ด จากประเทศออสเตรเลียประมาณ 1 ล้านชุด และกลางปีนี้บริษัทมีแผนส่งข้าวไทยไปขายในประเทศอังกฤษด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการทำแพคเกจจิ้ง ขณะเดียวกันบริษัทเริ่มเจาะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ด้วยการเปิดแบรนด์ใหม่ชื่อว่า "ไทย สไมล์" แข่งขันกับต่างชาติ และเริ่มวางแผนการตลาดในไทยโดยจำหน่ายที่เซเว่น อีเลฟเว่น

สำหรับยอดขายปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 1 ล้านซองต่อเดือน และอีก 3 เดือนบริษัทมีแผนจะเปิดโรงงานใหม่อีกหนึ่งโรงเพื่อรองรับการผลิตสินค้าใหม่ๆ อย่างไรก็ตามจากการสำรวจตลาดที่ผ่านมาพบว่าผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว และก๋วยเตี๋ยว ของไทยแบตเตอร์ฟู้ดส์ เป็นที่รู้จักมากที่สุด เนื่องจากต่างประเทศยอมรับคุณภาพ และความซื่อสัตย์ ที่สำคัญคือบริษัทให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบ One Stop Service

เคล็ด (ไม่)ลับ ความสำเร็จ

ทำงานแบบหลงจู๊/เน้นคุณภาพ

นายวัฒนา เล่าว่า ความสำเร็จที่ได้รับในวันนี้มาจากการพัฒนาสินค้าอยู่ตลอดเวลา และการทำงานที่เป็นระบบ เน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐาน นอกจากนี้จะต้องเป็นผู้ที่เปิดกว้างที่จะเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้บริหารสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเรียนรู้ในทุกกระบวนการ ทำงานอย่างผู้รู้ เหมือนที่คนจีนเรียกว่าการทำงานแบบ "หลงจู๊" นั่นเอง "โดยส่วนตัวแล้วจะนิยมดัดแปลงกระบวนการทำงานที่ดีๆของคนตะวันออกมาผนวกใช้กับคนตะวันตก เช่นตะวันตกจะเป็นคนที่ตรงต่อเวลา ยึดถือมาตรฐานสินค้าเป็นเรื่องสำคัญ ก็จะนำมาใช้ด้วยเพราะการผลิตเส้นหมี่ สิ่งที่สำคัญคือการควบคุมคุณภาพ ความสม่ำเสมอ และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เพราะเราต้องส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย ฉะนั้นผลิตภัณฑ์ทุกชนิดจะต้องผลิตขึ้นตามความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ส่วนการทำงานของคนตะวันออกก็จะขึ้นชื่อในเรื่องความขยัน ละเอียด ซึ่งแต่เดิมเราไม่ค่อยมีการบันทึก แต่เมื่อมีการนำระบบ ISO มาใช้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทเริ่มรู้จักการจดบันทึกว่ากระบวนการผลิตในทุกขึ้นตอนจะต้องมีการจดบันทึกไว้เป็นเอกสาร นอกจากนี้พ่อผมสอนให้ทำงานแบบ หลงจู๊ คือ ทำงานอย่างผู้รู้ในทุก ๆ ด้าน ซึ่งทำให้ผมรู้ทุกขั้นตอนการผลิต แม้ผมอาจจะไม่ได้ลงลึกนัก แต่เมื่อมีปัญหาก็จะทำให้เราทราบว่าปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน และจะแก้ปัญหาได้อย่างไร"

วางตัว "ทายาท" หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ

ธุรกิจผลิตเส้นหมี่แปรรูปของไทยเบตเตอร์ฟู๊ดส์แม้จะมีพัฒนาการมาตามวันเวลา แต่คุณวัฒนาก็ไม่เคยหยุดนิ่งหรือคิดที่จะให้ธุรกิจขับเคลื่อนตัวเองเพียงลำพัง ตรงกันข้าม คุณวัฒนาได้เตรียมพร้อมสำหรับการส่งต่อธุรกิจให้ทายาทโดยเฉพาะการเติมเต็มความรู้ด้านการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่สำคัญแห่งการดำเนินธุรกิจที่ทั้งรุ่นพ่อและรุ่นตัวเอง ก็ไม่ได้ศึกษามาโดยตรง แต่เมื่อเข้ามารับช่วงการบริหารต่อจากพ่อและในฐานะหัวเรือใหญ่คุณวัฒนาก็พร้อมที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และเตรียมวางรากฐานการสืบทอดธุรกิจให้ลูก ๆ ทั้ง 4 ให้พร้อมสำหรับการเป็น "ทายาทธุรกิจ"

"ผมมองว่าธุรกิจของไทยเบตเตอร์ฟู๊ดส์เน้นการทำธุรกิจกับต่างประเทศ ดังนั้นลูกๆ ควรจะต้องรู้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่ 3 ตอนนี้บุตรชายคนโตกำลังศึกษาด้าน Food Science ที่มหาวิทยาลัยมหิดล บุตรชายคนที่ 2 ศึกษาด้านวิศวกรรมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนที่ 3 ศึกษาด้านธุรกิจระหว่างประเทศ ส่วนคนที่ 4 ศึกษาด้านการเงินและกฎหมายธุรกิจ ซึ่งจริงๆ ทุกศาสตร์ที่ลูกแต่ละคนเรียนอยู่นั้นเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในอนาคตทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าลูกทุกคนจะต้องกลับมาทำงานของครอบครัวจะมาช่วยหรือไม่มาช่วยก็ไม่เป็นไร แต่ก็จะพยายามบอกเล่าเรื่องราวของธุรกิจให้ลูกๆ ฟัง และให้พวกเขาค่อยๆ ซึมซับเอง อย่างลูกชายคนโตถ้าว่างจากการเรียน หรือวันหยุดก็จะเข้ามาช่วยตอบแฟกซ์ หรือร่วมในการนำเสนองานให้ลูกค้าต่างประเทศฟัง ซึ่งการศึกษาด้าน Food Science ทำให้เขาสามารถอธิบายด้านการผลิตในเชิงลึกได้ เช่นเดียวกับลูกคนที่ 2 ก็สามารถตอบข้อซักถามของลูกค้าในด้านวิศวกรรมได้ พอลูก ๆ อยู่กันพร้อมหน้าก็จะพาเดินดูงานในโรงงาน พร้อมอธิบายเหตุผลว่าในสมัยก่อนที่เราทำอย่างนี้เพราะอะไร เพื่อให้เขาเปรียบเทียบถึงการกระทำและผลที่ตามมา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปในยุคของพวกเขา และอีกสิ่งหนึ่งที่เตรียมเสริมให้กับลูกทุกคนก็คือระบบการทำงานแบบตะวันตก เช่น ระบบเอกสาร การจัดการ ระบบคุณภาพตามแบบสากล และการเสริมความรู้ให้สอดคล้องกับธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่"

ทั้งหมดก็คือเหตุผลที่ทำให้ บริษัท ไทยเบตเตอร์ ฟู๊ดส์ จำกัด ประสบความสำเร็จ

พร้อมทั้งยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดยั้ง และคงไว้ซึ่งความเป็นไทย ดังสโลแกน "คิดถึงผลิตภัณฑ์ข้าวไทย คิดถึงไทยเบตเตอร์ฟู๊ดส์"--จบ--

-ศน-