บง.ธนชาติ เผยผลกำไรไตรมาสแรก 453 ล้านบาท

28 Apr 2003

กรุงเทพฯ--28 เม.ย.--ธนชาติ

บง.ธนชาติ เผยผลกำไรไตรมาสแรก 453 ล้านบาท มาจากธุรกิจเช่าซื้อที่โตถึง 96% พร้อมเผยปี 2546 ยังคงเน้นธุรกิจเช่าซื้อ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ต่อไป

บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรก ปี 2546 จำนวน 453 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจเช่าซื้อเนื่องจากบริษัทได้รุกธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เป็นผลให้มีรายได้เช่าซื้อเพิ่มขึ้นถึง 96% เมื่อเทียบกับจากงวดเดียวกันของปีก่อน พร้อมเผยใน 3 ไตรมาสที่เหลือจะยังคงเน้นธุรกิจเช่าซื้อต่อไป

และจะรุกเข้าสู่ธุรกิจรถยนต์มือสองมากขึ้น

โดยจากที่ตั้งเป้าไว้ทั้งปี 38,000 ล้านบาท ไตรมาสแรกสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ไปแล้ว 9,806 ล้านบาท ย้ำพร้อมรักษาผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจนี้ ต่อไป

นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเงินทุน ธนชาติ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทที่สามารถทำกำไรได้ 453 ล้านบาท เทียบกับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงเดียวกันของปี 2545 ที่มีกำไร 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% ว่าเป็นผลมาจากรายได้ธุรกิจ เช่าซื้อจำนวน 677 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 332 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 96% และการรับรู้กำไรจากเงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้ส่วนเสีย เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 331 ล้านบาท เนื่องจากผลประกอบการที่ดีของบริษัทในเครือ

สำหรับในไตรมาสแรกปีนี้ ธนชาติมีค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 296 ล้านบาท จากที่เคยโอนกลับเป็นรายได้ในปีก่อน 4 ล้านบาท เป็นตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในปีนี้ 292 ล้านบาท โดยจำนวน 97 ล้านบาท เป็นสำรองที่ต้องตั้งไว้ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามยอดสินเชื่อเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น และอีกจำนวน 195 ล้านบาท เป็นการตั้งสำรองทั่วไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ ความเสี่ยงด้านเครดิต ด้านอัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน อันเป็นนโยบายการบริหารความเสี่ยงของธนชาติ

และ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2546 บริษัทฯ มีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 99,126 ล้านบาท เป็นเงินให้กู้ยืมสุทธิ 55,312 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสินเชื่อเช่าซื้อ 39,521 ล้านบาท โดยมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่อเช่าซื้อเพียง 0.58% จากสินเชื่อเช่าซื้อทั้งหมด มีเงินฝากทั้งสิ้น 67,560 ล้านบาท

อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) เท่ากับ 11 %

นายศุภเดช กล่าวอีกว่า ใน 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้

บริษัทฯ จะยังคงเน้นการทำธุรกิจเช่าซื้อต่อไปเพื่อรักษาผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ พร้อมตั้งเป้าที่จะขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์มือสอง โดยมีเป้าหมายสินเชื่อเช่าซื้อปล่อยใหม่ทั้งรถใหม่และรถมือสอง ในปี 2546 จำนวน 80,000 คัน คิดเป็นมูลค่า 38,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 45% ทั้งนี้เฉพาะไตรมาสแรกนี้สามารถปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ไปได้แล้วจำนวน 23,043 คัน คิดเป็นมูลค่า 9,806 ล้านบาท ส่วนในไตรมาสที่เหลือบริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้มีรถยนต์ที่ทำเช่าซื้อกับ

ธนชาติ ณ สิ้นปี 2546 รวมทั้งสิ้น 200,000 คัน สำหรับธุรกิจเช่าซื้อรถมือสอง บริษัทฯ จะทำการสนับสนุนทางการเงินโดยให้สินเชื่อ Floor Plan กับผู้จำหน่ายรถยนต์ใน "ธนชาติ สมาร์ทคาร์ พลาซ่า" ศูนย์จำหน่ายรถยนต์มือสองบนถนนพระราม 9 ตลอดจนให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อกับผู้ที่จะซื้อรถมือสองภายในศูนย์ฯ อีกด้วย

"นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค (Micro Credit )และรุกธุรกิจด้านการซื้อขายหุ้นกู้มากขึ้น รวมถึงจะทำการยกระดับสำนักอำนวยสินเชื่อในต่างจังหวัดให้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินของกลุ่มธนชาติบริการลูกค้าได้เต็มรูปแบบยิ่งขึ้น เช่น การปล่อยสินเชื่อบุคคล สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อ SME และบริการอื่นๆ นายศุภเดชกล่าว

นายศุภเดช ยังเปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในกลุ่มธนชาติ ในปี 2546 ว่าในส่วนของธนาคาร ธนชาต จะเปิดสาขาในกรุงเทพฯอีก 5 สาขา พร้อมบริการเอทีเอ็มภายในกลางปีนี้ นอกจากนี้ธนาคารธนชาต ร่วมกับธนชาติซูริคประกันชีวิต จะเสนอผลิตภัณฑ์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาดรูปแบบใหม่ของวงการการเงินไทย คือ เงินฝาก Deposit Hybrid Plus ซึ่งเป็นเงินฝากประจำรายเดือนระยะเวลา 60 เดือน ที่เป็นผลิตภัณฑ์ผสม (Hybrid) ระหว่างเงินฝากและการประกันชีวิต เพื่อรุกตลาดการขายประกันผ่านสาขาธนาคาร (Bancassurance) ซึ่งข้อดีของเงินฝากประเภทนี้คือ เมื่อผู้ฝากเสียชีวิตลงบริษัทประกันชีวิตจะเข้ามารับผิดชอบฝากเงินให้จนครบระยะเวลาที่เหลือ ส่วนด้านสินเชื่อเคหะก็จัดให้มีกิจกรรมส่งเสริมการตลาด "ผ่อนบ้านลุ้นรับรถยนต์ BMW 323 iA" มูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาติ จะเน้นการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่และเพิ่มคุณภาพของการให้บริการด้านธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์มากขึ้น โดยจะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่การตลาดเพื่อรองรับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจจะเน้นการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้มากขึ้นหลังจากปีที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จจากหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO)

บลจ.ธนชาติ ธุรกิจกองทุนรวม ยังคงเป็นธุรกิจหลัก โดยจะเน้นกองทุนรวมที่เสนอขายประชาชนทั่วไปและกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) โดยบริษัทมีเป้าหมายในการระดมเม็ดเงินลงทุนสุทธิใหม่สำหรับปี 2546 ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท หรือมีอัตราเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปี 2545 นอกจากนี้ยังรับบริหารกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

บริษัท ธนชาติประกันภัย พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในการรับประกันภัยความรับผิดชอบของผู้บริหารและกรรมการ (Director & Officer Liability Insurance) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการส่งเสริมธรรมาภิบาล พร้อมทั้งจะมีการพัฒนาช่องทางการตลาดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยล่าสุดจะเปิดตัวบริการใหม่ซึ่งเพิ่งได้รับอนุมัติจากกรมการประกันภัยให้เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวในประเทศในขณะนี้ คือ Professional Indemnity ซึ่งเป็นการรับประกันภัยทางวิชาชีพสำหรับบุคคลในสาขาอาชีพต่างๆ เช่น นักกฎหมาย แพทย์ วิศวกร เป็นต้น

บริษัท ธนชาติซูริคประกันชีวิต จะรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจประกันกลุ่มในประเทศ โดยผ่านช่องทางการตลาดแบบตรง (Direct Marketing) และตัวแทน (Brokers) รวมถึงผ่านที่ปรึกษาการเงินการลงทุน (Financial Planning Advisor) นอกจากนี้จะขยายขอบข่ายการให้บริการไปยังจังหวัดสำคัญๆ เช่น สงขลา (หาดใหญ่) ชลบุรี อุบลราชธานี สมุทรสาคร และอยุธยา--จบ--

-พห-

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit