กรุงเทพฯ--5 ก.ค.--วช.
รมต. ประจำสำนักนายกฯ เผย งานวิจัยสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจยั่งยืนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งเกษตร - อุตสาหกรรม เพิ่มรายได้ สร้างงาน โอ่ ประเทศไหนมีการศึกษาดีกว่า เทคโนโลยีดีกว่า งานวิจัยดีกว่าประเทศนั้นชนะ
นายสุวัจน์ สิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย กล่าวเปิดงานตลาดนัดงานวิจัย ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จังหวัดลำพูนว่า งานวิจัยมีบทบาทสูงมากในสังคมปัจจุบัน ทำให้สามารถนำงานวิจัยมาเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพ ลดต้นทุนในการผลิตได้ ทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมหรือการเกษตรสมัยก่อนมีการนำเทคโนโลยี ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยไปใช้น้อยมาก ทำให้ผลิตผลที่ได้มีปริมาณน้อยหรือคุณภาพไม่ดีนัก ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในสังคมโลก ต้องมีการแข่งขันกับนานาประเทศ ซึ่งขณะนี้การแข่งขันในทุกด้านๆ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก ประเทศใดก็ตามมีระบบการศึกษาที่ดีกว่า มีเทคโนโลยีดีกว่า มีงานวิจัยดีกว่า ประเทศนั้นเป็นผู้ชนะ ดังนั้น สิ่งที่เคยกระทำในอดีตจะต้องมีการพัฒนาปรับปรุง ต้องมีมาตรการจัดการที่ทันสมัย มีคุณภาพมีการแข่งขันในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมหรือการท่องเที่ยวและสมัยนี้ผู้บริโภคมีการตื่นตัวกับกระแสการแข่งขันสูงด้วย
รัฐมนตรีประจำสำนักงานฯ กล่าวต่อว่า การที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้จัดตลาดนัดงานวิจัยขึ้นเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งทำให้งานวิจัยได้เผยแพร่สู่สาธารณชน ทั้งงานประดิษฐ์คิดค้น งานวิจัยจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ผ่านมาคนไทยให้ความสำคัญด้านงานวิจัยน้อยไป ทั้งๆที่ประเทศไทยมีงานวิจัยดีๆหลายอย่างหรืองานวิจัยที่ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ถูกนำไปเก็บไว้ในห้องสมุดหรือวางบนหิ้ง ไม่ได้นำกระบวนการวิจัยมาสร้างให้เกิดผลงานให้มีการยอมรับจากสังคม ในความคิดของตนเห็นว่า จะต้องมีการส่งเสริมงานวิจัยอย่างจริงจัง ทั้งการผลิตจำนวนนักวิจัยเพิ่มขึ้น สนับสนุนทุนวิจัยมากขึ้น ดึงภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในงานวิจัย ซึ่งทบวงมหาวิทยาลัยได้จัดงานสัมมนาก็มีภาคอุตสาหกรรมเข้ามาร่วมงานและมีแนวคิดจะร่วมกับทบวงมหาวิทยาลัยช่วยกันผลิตงานวิจัย โดยภาคเอกชนจะให้การสนับสนุนและนำรายได้ที่ได้รับจากการส่งออกมาสนับสนุนประเทศไทยโดยผ่านงานวิจัย ซึ่งเห็นได้ว่าสามารถนำงานวิจัยไปต่อยอดไปใช้กับภูมิปัญญาท้องถิ่น ไปใช้กับวัตถุดิบหรือทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น นำเทคโนโลยีซึ่งได้จากผลการวิจัยไปใช้ในกระบวนการผลิตภาคอุตสาหกรรม ผลิตเป็นสินค้าออกสู่ตลาดโลกได้
ตนขอพูดว่า "ถ้าไม่มีงานวิจัย เราจะสู้ต่างประเทศไม่ได้ งานวิจัยเป็นสิ่งสำคัญและสามารถกระตุ้นให้คนในชาติที่อยู่ในภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งภาคการผลิตทุกภาค เห็นความสำคัญและตื่นตัวช่วยกันคิดช่วยกันหางานวิจัยและนำงานวิจัยมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, เพิ่มประสิทธิภาพสังคมเกษตร สังคมอุตสาหกรรมให้มีมาตรฐานมากขึ้นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องประชาชนจะเห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่น การพัฒนาชุมชน หมู่บ้าน ตำบล ภูมิปัญญาท้องถิ่นทั้งในรูปของผลิตภัณฑ์ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งนับว่าเป็นโครงการต่างๆที่เป็นการสร้างเศรษฐกิจรากหญ้า เช่น จังหวัดลำพูนมีชื่อเสียงด้านผ้าทอ ผ้าไหม ผ้าฝ้ายยกดอกก็สามารถนำงานวิจัยเกี่ยวข้องกับผ้าไหม ผ้าฝ้ายทอ ที่มีลวดลายสวยงามมาพัฒนาไว้ในลวดลายผ้าทอ มีการออกแบบลวดลายใหม่ๆ ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมารัฐมนตรีทุกคนก็แต่งกายด้วยผ้าไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศ หรือ แม้กระทั่งการนำผลการวิจัยแปรรูปผลไม้มาทำเป็นไวน์ผลไม้ นำมาทำเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เป็นการนำผลงานวิจัยมาช่วยเสริมสร้างมูลค่าการผลิต โดยมีสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าไปช่วยเสริมงานชาวบ้าน เป็นการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีและงานวิจัยออกไปขาย ฉะนั้นตนกล้าพูดได้ว่าประเทศไหนมีเทคโนโลยีดีกว่า การศึกษาดีกว่า งานวิจัยดีกว่า ประเทศนั้นเป็นผู้ชนะ ซึ่งการที่ วช. ร่วมกับจังหวัดลำพูน เทศบาลเมืองลำพูน จัดงานตลาดนัดงานวิจัยเพื่อเป็นการสร้างให้มีการตื่นตัวและเห็นประโยชน์รวมทั้งส่งเสริมให้มีการนำงานวิจัยไปสร้างมูลค่าเพิ่มในการผลิตสู่อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมต่างๆ สร้างรายได้ สร้างงาน สร้างสังคมให้สู่มาตรฐานให้สังคมไทยดีขึ้น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป"--จบ--
-อน-
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit