เลดี้สิริณ”ส่งน้ำนมข้าวยาคูเพิ่มศักยภาพข้าวไทย

25 Sep 2002

กรุงเทพฯ--25 ก.ย.--สกว.

ประเทศไทย ถือว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในสมัยก่อนทุกคนจะรู้จักข้าวก็แค่เพื่อบริโภคเป็นอาหารหลักเท่านั้น แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปข้าวได้ถูกวิวัฒนาการออกมาเป็นผลิตภัณฑ์นานาชนิดทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ ยารักษาโรค เครื่องสำอาง ฯลฯ และน้ำนมข้าวยาคู เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ถือกำเนิดมาจากข้าว และเป็นภูมิปัญญาไทยที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณกาล และ มล.สิริณ รองทอง ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ใช้ภูมิปัญญาไทยสร้างแบรนด์ไทยภายใต้ชื่อ “เลดี้สิ ริณ” ของบริษัท พี.กรีนเฮิร์บ(2001) จำกัด ผู้ผลิตน้ำนมข้าวยาคูลงสู่ท้องตลาดเป็นเจ้าแรกของโลกในรูปแบบอินเตอร์

เบื้องลึก”น้ำนมข้าวยาคู”

มล.สิริณ รองทอง กรรมการผู้จัดการบริษัท พี.กรีนเฮิร์บ (2001) จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่าน้ำนมข้าวยาคู เป็นการแปรรูปจากข้าวระยะน้ำนมซึ่งถือเป็นการแปรรูปจากการเกษตร 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นวัตถุดิบภายในประเทศ อุดมด้วยคุณค่านานับประการ และสืบทอดมากว่า 2000 ปี โดยในสมัยพุทธกาลพระองค์ทรงเสวยขาวยาคูเป็นมื้อแรก หลังจากทรงตรัสรู้แล้ว น้ำนมข้าวจะใช้ระยะตั้งท้องมาทำ คนโบราณมักจะทำให้ลูกหลานรับประทานในช่วงปลายฝนต้นหนาว คือ ช่วงที่จะหมดหน้าฝนย่างเข้าสู่หน้าหนาว เพื่อป้องกันไข้หัวลม ซึ่งตรงกับช่วงที่ข้าวอยู่ในระยะน้ำนมพอดี จึงนำมาใช้ทำน้ำนมข้าวยาคูได้

สำหรับสาเหตุที่คิดทำน้ำนมข้าวยาคูเนื่องจากในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ เริ่มมองเห็นว่ามีหลายๆบริษัทเริ่มปิดตัวลง สินค้านำเข้าลดบทบาทลงไปมาก ซึ่งในช่วงนั้นรสนิยมการบริโภคของคนไทยจะยึดติดกับสินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า อาหาร เครื่องสำอาง ล้วนแต่ต้องเป็นของแบรนด์เนมทั้งสิ้น เลยคิดว่าทำไมต่างประเทศยังมีศักยภาพในการสร้างแบรนด์ให้คนเอเชียและคนไทยจำนวนหนึ่งผูกติดสินค้ามียี่ห้อได้ ก็นั่งคิดอยู่ในใจว่าประเทศไทยเองก็มีวัตถุดิบต่างๆอยู่ในประเทศมากมาย ทำไมเราไม่คิดที่จะสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อผลิตสินค้าส่งขายบ้าง ซึ่งก่อนที่จะสร้างแบรนด์ได้ก็ต้องมีจุดขายที่ชัดเจนก่อนว่า จะผลิตสินค้าชนิดไหนและทำอย่างไรจะให้แบรนด์ที่สร้างขึ้นมีจุดแข็งสามารถสู้คนอื่นได้ ก็เกิดแนวคิดว่าสินค้าที่ผลิตขึ้นนี้จะต้องเป็นสินค้าที่ไม่ลอกเลียนแบบคนอื่น ต้องเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่เคยทำ และที่สำคัญคือต้องเป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นจากวัตถุดิบภายในประเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับในช่วงนั้นกระแสสินค้าเพื่อสุขภาพกำลังมาแรง พร้อมกับเริ่มมองว่าสิ่งเดียวในประเทศไทยที่มีมูลค่ามหาศาลแล้วไม่มีวันขาดวัตถุดิบอย่างแน่นอนก็คือ “ข้าว” นั่นเอง ประกอบกับตนเองพอมีความรู้ในเรื่องของการทำน้ำนมข้าวยาคูจากบรรพบุรุษอยู่บ้าง จึงเริ่มคิดทำน้ำนมข้าวยาคูออกขายในท้องตลาด

“เริ่มทำน้ำนมข้าวยาคูครั้งแรกๆจะใช้วิธีตำจากครก แล้วไปฝากขายที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยคนที่ตำจะใช้คนที่มีอายุหน่อยเพราะงานนี้เป็นงานที่ละเอียดอ่อนต้องอาศัยความชำนาญพอสมควร ทำน้ำนมข้าวยาคูด้วยครกแล้วไปใส่ขวดขายได้สักพักพบว่ากระแสตอบรับจากผู้บริโภคเริ่มดีขึ้นจึงเริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องปั่นแทน แต่ก็ยังใช้คนสูงอายุทำเพราะขั้นตอนการคั้นน้ำนมข้าวออกจากเมล็ดข้าว ถ้าคั้นไม่เป็นจะทำให้ไม่ได้น้ำนมข้าว ส่วนข้าวที่นำมาทำนั้นจะต้องเป็นข้าวในระยะตั้งท้องคือข้าวที่มีอายุประมาณ 3-4 เดือน เพราะช่วงนี้ข้าวจะให้น้ำนมมากเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นข้าวพันธุ์อะไรก็ตาม แต่ต้องเป็นข้าวที่ปลูกในภาคกลางเพราะภาคกลางจะมีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องน้ำทำให้ข้าวช่วงระยะน้ำนมอยู่ได้นานกว่าภาคอื่นๆโดยเฉพาะในภาคอีสานที่จะขาดน้ำทำให้ข้าวไวต่อแสง ช่วงระยะน้ำนมจึงสั้น”

งานแสดงสินค้าจุดกำเนิด”เลดี้สิริณ”

หลังจากแจ้งเกิดน้ำนมข้าวยาคูได้ระยะหนึ่งก็มีโอกาสได้ไปแสดงสินค้าในงาน”ไทนเม็กซ์-ไทยเฟ็กซ์” ซึ่งเป็นงานแสดงอาหารไทยกับอาหารมุสลิมที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยที่”เลดี้สิริณ”เป็นสมาชิกของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งจุดนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของบริษัท เพราะเราเป็น SMEs เล็กๆ เงินค่าบู๊ธก็ไม่มีหากไม่ได้รับความช่วยเหลือ ในช่วงแรกๆใครที่เป็น SMEs ใหม่ๆจะไปจ่ายค่าบู๊ธ 30,000-50,000 บาทคงทำได้ยาก นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ทางราชการหยิบยื่นให้ ซึ่งก็มีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการส่งออกต้องบอกว่า “เลดี้สิริณ”ค่อนข้างจะเติบโตมากับ 2 กรมนี้ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอีกหลายแห่งที่ช่วยกันเสริมการเติบโตของ”เลดี้สิริณ” นั่นก็คือ กรมส่งเสริมการเกษตร และสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เราได้มีโอกาสเปิดตัวเอง หลังจากร่วมแสดงสินค้าที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์แล้วพบว่าได้ผลตอบรับกลับมาดีมากทั้งคนไทยและต่างประเทศ

หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้สัมภาษณ์เมื่อเดือนมิถุนายน 1999 หลังจากนั้นในอเมริกาก็จะมีน้ำนมข้าวเกิดขึ้นแต่เขาใช้ชื่อว่า “rice dream ” ซึ่งก็เกิดในพ.ศ.เดียวกันกับ”เลดี้สิริณ” แต่เมื่อเราก็มาวิเคราะห์ดูว่าทำไมเกิดในปีเดียวกับเราก็ได้ข้อมูลว่า เขาได้มาในงานนั้นและได้ข้อมูลไปพอสมควรเพราะเวลาพรีเซนต์รายละเอียดเราไม่ได้เลือกปฏิบัติว่าเป็นลูกค้าในหรือต่างประเทศ เพราะเราต้องการเปิดกว้าง ซึ่งทุกวันนี้ในประเทศออสเตรเลีย อิตาลี สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นก็มีคำว่า “YOUNG RICE MILK ” และหากจะพูดไปแล้วคำๆนี้เราเป็นคนคิด เพราะเราไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร เพราะ “YOUNG RICE MILK ” ก็คือข้าวอ่อนๆ ซึ่งจุดนี้ก็เป็นความภูมิใจที่ว่าเราเป็น

มิติหนึ่งของการจุดประกายแห่งน้ำนมข้าวที่อาจจะเกิดขึ้นจากกรุงเทพฯและหลังจากนั้นมันก็เติบโตไปในอีกหลายๆจังหวัด และภาคพื้นเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

“หากถามว่ามิตินี้เกิดจากที่ไหน ตอบได้เต็มปากว่าเกิดจากแนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการหยิบเอาข้าวไทยมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เพราะแทนที่ชาวนาจะขายขาวได้เกวียนละ 4,000-5,000 บาท แต่หากมาขายให้เรา เราจะรับซื้อถึงเกวียนละ 7,000-8,000 บาท และชาวนายังสามารถปลูกข้าวได้ปีละ 3-4 หน หากถามว่าข้าวที่เก็บเกี่ยวมาเราใช้ประโยชน์เต็มที่หรือไม่ ก็ยังได้ไม่เต็มที่นัก เนื่องจากยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการเก็บรักษาที่ต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษ เพราะเทคโนโลยีในการเก็บไม่ได้เป็นการเก็บแบบแห้ง แต่เป็นการเก็บจากความชื้นจะทำให้เกิดเชื้อราได้ง่าย “

มล.สิริณ กล่าวว่า เริ่มทำน้ำนมข้าวยาคูตั้งปลายปี 2539 แต่เริ่มทำเต็มตัวในปี 2540 ซึ่งขอรับรองว่าน้ำนมข้าวยาคูแบรนด์”เลดี้สิริณ” ถือเป็นน้ำนมข้าวยาคูเจ้าแรกในประเทศไทย ช่วงแรกๆที่เราทำขาย หลายคนก็มองว่า ตลกดี คิดอะไรแปลกๆ อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมาทำน้ำข้าวใส่ขวดขาย เราบอกว่าน้ำข้าวของเราได้จากข้าวทั้งเมล็ดที่มีประโยชน์ เพราะได้จากไคลข้าว เปลือกข้าว และจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารสูงสุด และในปัจจุบันนี้เราก็พัฒนาขึ้นด้วยการใส่ใบข้าวที่มีทั้งโคโรฟิลด์และเอนไซม์ด้วย เพราะเห็นว่าเอนไซม์มีคุณสมบัติในการปรับคุณค่าอาหารแต่ละตัวที่เราบริโภคเข้าไปให้เกิดความสมดุลย์ในการย่อย เมื่อน้ำนมข้าวยาคูของเลดี้สิริณเริ่มขายดีในท้องตลาดก็เริ่มมีคู่แข่งเกิดขึ้นหลายราย ซึ่งจุดนี้ทำให้เราดีใจมาก เพราะลำพังเลดี้สิริณผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งคงไม่สามารถที่จะครองตลาดตรงนี้ได้แน่นอน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่อยากฝากไปถึงผู้ผลิตรายอื่นๆว่า “ขอให้มีความซื่อสัตย์ต่อผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่ามุ่งเน้นกำไรจนเกินไป” เพราะที่ผ่านมาเลดี้สิริณใช้หลัก “คุณธรรม นำกำไร” เนื่องจากว่าการเก็บเกี่ยวข้าวในระยะน้ำนมนั้นถ้าจะใช้เทคโนโลยี เราการันตีได้เลยว่าคุณภาพไม่ถึงแน่นอน เพราะข้าวในระยะตั้งท้องนี้การเก็บเกี่ยวจะต้องทำด้วยความปราณีต เพราะข้าวไร่หนึ่งๆจะมีระยะให้น้ำนมที่แตกต่างกัน และการผสมผสานสิ่งหนึ่งสิ่งใดเช่น นมถั่วเหลือง นมข้าวโพด แป้งข้าวเจ้า หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆก็จะทำให้น้ำนมข้าวยาคูที่ได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปไป ที่สำคัญเมื่อมีการผสมสิ่งอื่นๆลงไปจะทำให้คุณค่าของน้ำนมข้าวยาคูลดน้อยลงไป ที่สำคัญจะทำให้ภาพของคนทั่วโลกที่รู้จักน้ำนมข้าวยาคูเปลี่ยนไปด้วย

ลองผิด ลองถูกว่าจะเป็น”เลดี้สิริณ”

มล.สิริณ เล่าว่า กว่าจะเป็น”เลดี้สิริณ” ในวันนี้บริษัทได้รับผลกระทบเยอะมาก โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีแรก เพราะมีการทดลอง ลองผิด ลองถูก เสียเงินไปหลายสิบล้านบาท กว่าจะค้นพบถึงคุณสมบัติในการเก็บรักษา เพราะน้ำนมข้าวไม่สามารถจะแช่ในตู้เย็นได้ ต้องแช่ในน้ำแข็งที่อุณหภูมิคงที่และจะต้องเป็นชั้นๆด้วยในระหว่างที่ทำใหม่ๆ แต่หลังจากผ่านการพาสเจอไรซ์ สเตอริไรซ์แล้วเป็นอีกขั้นหนึ่งที่สามารถเก็บรักษาได้ แต่เราก็มองย้อนกลับไปที่คุณค่าของโภชนาการว่า

หลงเหลือคุณค่าทางอาหารหรือไม่ ซึ่งน้ำนมข้าวยาคู “เลดี้สิริณ” ไม่ได้ใช้ระบบสเปรย์ ดราย เพราะฉะนั้นคุณค่าทางโภชนาการยังเหลืออยู่ค่อนข้างเต็มเปี่ยม สังเกตได้จากที่รับประทานไป 1-2 สัปดาห์จะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในร่างกาย ระบบแรกคือระบบขับถ่าย ระบบที่สองคือความสดชื่นหลังการทำงาน และน้ำนมข้าวยาคูนี้ยังเหมาะมากสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลหรือผู้ป่วยพักฟื้น

ขอผู้เชี่ยวชาญพัฒนาผลิตภัณฑ์

ภายหลังจากผลิตสินค้าได้ระยะหนึ่งจนชื่อ”เลดี้สิริณ”เริ่มติดปากผู้บริโภค ก็เริ่มคิดที่จะพัฒนากระบวนการผลิต จึงขอรับความช่วยเหลือจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ในโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย(Industrial Technology Assistance Program) ในการขอผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้เข้ามาช่วย ซึ่งก็มีจากองค์กรเคโซ่ ที่ส่งผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของไวน์ โยเกิร์ต ชีสต์ และนมมาอยู่กับบริษัทประมาณ 1 เดือน ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของบริษัทพอดีที่คิดจะผลิตสินค้าเหล่านั้นลงสู่ตลาด โดยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยในเรื่องของการคิดค้นผลิตภัณฑ์ดังกล่าวพร้อมกับทำการทดสอบจนลงตัว ซึ่งถือว่าการได้รับความช่วยเหลือจาก สวทช.ในครั้งนี้ตรงกับเวลาและสถานการณ์ที่เลดี้สิริณต้องการพอดี ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณทาง สวทช.ที่ให้ความช่วยเหลือจนเราสามารถประสบความสำเร็จได้

แตกไลน์ผลิตภัณฑ์รับตลาดโต

หลังจากที่เริ่มผลิตน้ำนมข้าวยาคูวางขายในท้องตลาดได้ประมาณ 1 ปีก็เริ่มคิดผลิตสินค้าชนิดอื่นลงสู่ท้องตลาดด้วย ก็เริ่มแตกไลน์เป็นน้ำนมข้าวยาคูผง พร้อมกับเริ่มคิดที่จะทำน้ำนมข้าวส่งนอกจึงคิดว่าน่าจะมีผลิตภัณฑ์หลายๆตัวเพื่อให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ ซึ่งขณะนี้ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิตอยู่ภายใต้แบรนด์”เลดี้สิริณ” จะมีประมาณ 13 ชนิดคือ น้ำนมข้าวยาคูชนิดน้ำ น้ำนมข้าวยาคูชนิดผง คุ๊กกี้โบราณ ถั่วตัดน้ำนมข้าว คุ๊กกี้น้ำนมข้าว(ไทยคุ๊กกี้) ไอศกรีมน้ำนมข้าวชนิดถ้วย ไอศกรีมน้ำนมข้าวชนิดบรรจุถัง แคร๊กเกอร์น้ำนมข้าว ซาลาเปาน้ำนมข้าว ครัวซองท์น้ำนมข้าว น้ำนมข้าวยาคูชนิดน้ำบรรจุถุง ทองม้วน(ชาใบเขียวผสมน้ำนมข้าว) และน้ำนมข้าวยาคูชนิดบรรจุกล่อง ซึ่งกว่าจะมาถึงขึ้นนี้ได้ต้องยอมรับว่าเหนื่อยมาก

สำหรับการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์นั้นส่วนใหญ่จะคิดขึ้นเอง ซึ่งถือว่าโชคดีที่แม้ว่าเราจะขาดเงินทุนแต่เราไม่เคยขาดมันสมองในการคิดผลิตสินค้าใหม่ๆป้อนตลาด อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เลดี้สิริณติดตลาดก็คือ รูปแบบของแพคเกจจิ้งที่สวยงาม ตรงคอนเซ็ปต์อาหารจากธรรมชาติและปลอดสารพิษซึ่งแพคเก็จจิ้งนี้ถือเป็นจุดขายของเลดี้สิริณเช่นกัน

เปิดแฟรนไชส์รับสมาชิกก่อนโกอินเตอร์

สำหรับผลิตภัณฑ์ของ”เลดี้สิริณ”นั้นขณะนี้วางขายอยู่ที่เดอะมอลล์ทุกสาขา ดิเอ็มโพเรียม ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และขณะนี้เริ่มเปิดแฟรนไชส์บ้างแล้วในบางจังหวัดคือที่ หาดใหญ่ ตรัง ภูเก็ต เชียงใหม่ นครราชสีมา และสกลนคร และมีเป้าหมายว่าจะเปิดให้ครบทุกจังหวัด อย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง ด้วยแนวคิดว่าการทำตลาดคนเดียวไม่สนุก เราต้องทำเป็นเครือข่ายจึงเริ่มขายแฟรนไชส์ โดยมีค่าแฟรนไชส์ประมาณ 150,000-200,000 บาท ซึ่งการเปิดรับสมัครแฟรนไชส์นี้ไม่ใช่ว่าใครสมัครมาเราจะรับทั้งหมดต้องมีการคัดเลือกด้วย เพราะน้ำนมยาคูเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ จึงอยากได้ผู้ที่ร่วมแฟรนไชส์ที่รักและสนใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพไม่ใช่หวังแต่เพียงเม็ดเงินหรือผลตอบแทนเท่านั้น โดยรูปแบบของร้านนั้นทางเราจะมีดีไซน์ร้านไว้ให้ด้วยเพื่อให้เป็นรูปแบบเดียวกัน ซึ่งค่าแฟรนไชส์ที่เสียไปจะรวมไปถึงค่าตกแต่งร้านด้วย

ส่วนแผนการในอนาคตก็คืออยากมีผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่เมื่อเด็กรับประทานแล้วได้ประโยชน์และคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วน โดยที่คิดไว้ก็คือ ลูกอมน้ำนมข้าวสำหรับเด็ก และช็อคโกแล็ตน้ำนมข้าว ส่วนการส่งออกไปต่างประเทศนั้นช่วงนี้ก็มีลูกค้าสนใจบ้าง แต่ติดอยู่ในเรื่องของการทำมาตรฐาน GMP และมาตรฐาน HACCP ซึ่งคาดว่าจะได้มาตรฐานดังกล่าวในเร็วๆนี้และเมื่อถึงเวลานั้น “เลดี้สิริณ”ก็คงพร้อมที่จะสู้กับตลาดต่างประเทศอย่างแน่นอน ซึ่งในอนาคตอยากเห็นแบรนด์”เลดี้สิริน” โกอินเตอร์ โดยตลาดที่มองไว้จะเป็นในทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะนักกีฬา เพราะนักกีฬาจะต้องมีการควบคุมน้ำหนัก ต้องการกำลังที่แข็งแรง ซึ่งอาหารของเราจะเหมาะกับนักกีฬามาก เพราะนอกจากควบคุมน้ำหนักได้แล้วยังช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายได้อีกด้วย สำหรับกลุ่มประเทศที่คิดว่าจะเริ่มทำตลาดในครั้งแรกน่าจะเป็นยุโรปกับภาคพื้นเอเชีย และมุสลิม

ส่วนตลาดในประเทศนั้นคิดว่าการเปลี่ยนค่านิยมคนไทยให้มาบริโภคอาหารธรรมชาติทำได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย โดยต้องทำให้การดื่มน้ำนมข้าวยาคูเป็นแฟชั่นคนรุ่นใหม่ให้ได้ เพราะในปัจจุบันคนไทยเริ่มห่วงใยสุขภาพของคนในครอบครัวมากขึ้น จึงเริ่มหันมาบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพกัน ซึ่งในอนาคตหากเราสามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้น และมีราคาถูกลงเชื่อว่าน้ำนมข้าวยาคูคงได้รับการตอบรับมากขึ้น

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการใช้ภูมิปัญญาและวัตถุดิบที่มีอยู่ในประเทศไทยมาเพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพนานาชนิด จนสามารถสร้างเป็นแบรนด์ไทยได้อย่างลงตัว--จบ-- -ศน-

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit