กรุงเทพฯ--11 มี.ค.--วอร์เนอร์บราเดอรส์ & วิลเลจโรดโชว์ พิคเจอร์ส
ทีมงาน
ทอม ดีย์ (ผู้กำกับการแสดง) เติบโตในนิวอิงแลนด์ และศึกษาด้านปรัชญา, ศาสนา และภาพยนต์ที่ Brown University หลังสำเร็จการศึกษาในปี 1987 ได้สานต่อความสนใจด้านภาพยนต์ที่ Centre des Etudes Critiques ในปารีส เพื่อศึกษาทฤษฎีภาพยนต์ เขาอยู่ที่ฝรั่งเศส 2 ปี ก่อนย้ายเข้ามาที่ลอสแอนเจลิสในปี 1990 และศึกษาต่อที่ American Film Institute
ในปี 1993 ดีย์ได้รับปริญญาโทจาก American Film Institute และเริ่มงานเป็นผู้กำกับหนังโฆษณาด้วยการใช้กล้องขนาด 16mm ซึ่งขอยืมมาจากเพื่อน ปีถัดมาเขาได้รับการทาบทามจากบริษัทโปรดักชั่น Ridley Scott Associates ให้เซ็นสัญญาเป็นผู้กำกับ ซึ่งเขายังร่วมงานอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ลูกค้าของเขาได้แก่ Mastercard, U.S. Airways, Showtime Networks และ L'Oreal
ในปี 1998 ดีย์เริ่มจับงานด้านภาพยนต์ซึ่งเขาได้รับการว่าจ้างจาก Disney และ Spyglass Entertainment ให้กำกับเรื่อง Shanghai Noon, นำแสดงโดยเฉินหลง โอเวน วิลสัน และลูซี หลิว ออกฉายเดือนพฤษภาคมปี 2000 ซึ่งประสบความสำเร็จในทุกด้าน
Showtime เป็นผลงานกำกับภาพยนต์เรื่องที่สองของดีย์
ยอร์ค ซาราเลอกุย (ผู้อำนวยการผลิต) ร่วมงานกับทเวนตี้เซ็นจูรี่ ฟอกซ์ จนถึงวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส ในฐานะผู้อำนวยการผลิตไร้สังกัด จนกระทั่งเดือนมกราคม ปี 1998 เมื่อเขาก่อตั้งบริษัทโปรดักชั่นของตัวเองในนาม Material ในปี 2000 เขาสร้างหนังวิทยาศาสตร์ระทึกขวัญเรื่อง Red Planet ให้กับวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส และวิลเลจ โรดโชว์ พิคเจอร์สซาราเลอกุยเคยเป็นนักประพันธ์อาชีพในซาน ฟรานซิสโก หลังจากนั้นเข้าร่วมงานตำแหน่งผู้ประกาศให้ฟอกซ์ในปี 1989 และผันตัวมาทำงานเป็น creative executive และไต่เต้าขึ้นมาตามลำดับจนกระทั่งได้รับตำแหน่ง Executive Vice President of Production ในระหว่างการทำงานของเขามีผลงานโดดเด่น อาทิ Speed, Independence Day, Broken Arrow, Die Hard With A Vengeance และ Alien Resurrection. ซาราเลอกุยกำลังดูแลการผลิตให้กับ In the Lake และ The Big Bounce ของวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส ผลงานล่าสุดของ Material ในนามวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส และวิลเลจ โรดโชว์ พิคเจอร์ส ได้แก่ภาพยนต์ลึกลับผจญภัยเรื่อง Queen of the Damned ซึ่งดัดแปลงจากนวนิยายขายดีของแอน ไรซ์ นำแสดงโดยสจ๊วต ทาวน์เซนด์และอาไลย่าห์ ซาราเลอกุยยังเป็นผู้บริหารและดำเนินงานสร้างให้กับภาพยนต์ผจญภัยวิทยาศาสตร์เรื่อง The Time Machine จากนิยายคลาสสิคของ เอช.จี. เวลส์ ให้กับดรีมเวิร์คสและวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส
เจน โรเซนธัล (ผู้อำนวยการผลิต) ผู้ร่วมก่อตั้งทรีเบคกา โปรดักชั่นกับโรเบิร์ต เดอนีโร ในปี 1988 เธอเป็นผู้ดูแลงานผลิตทั้งหมดและเป็นผู้อำนวยการผลิตร่วมกับเดอนีโร ผลงานภาพยนต์ของทรีเบคกาได้แก่ Thunderheart, Cape Fear, Mistress, Night and the City, The Night We Never Met, Panther, A Bronx Tale และเรื่องดัดแปลงมาจากบทละครได้รับรางวัลของสก็อต แมคเฟอร์สัน Marvin's Room นำแสดงโดยเมอร์ริล สตรีพ และไดแอน คีตัน, เรื่อง Flawless และ The Adventures of Rocky and Bullwinkle โรเซนธัลยังเป็นผู้อำนวยการผลิตให้ผลงานของแบรี่ เลวินสัน เรื่อง Wag The Dog, บทภาพยนต์โดยเดวิด มาเหม็ด และผู้แสดงคือดัสติน ฮอฟแมน และโรเบิร์ต เดอนีโร ซึ่งได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองถึงสองรางวัล และผลงานมินิซีรี่ส์ของ NBC ยอดฮิตเรื่อง Witness to the Mob.
ล่าสุดยังมีผลงานผลิตของ วอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส ในเรื่องเบาสมอง Analyze This, นำโดยโรเบิร์ต เดอนีโร และบิลลี่ คริสตัล และหนังดัง Meet the Parents นำโดย โรเบิร์ต เดอนีโร และเบน สติลเลอร์ ซึ่งทำรายได้มากกว่า $100 million ต่อเรื่อง
ก่อนก่อตั้งทรีเบคกา โรเซนธัลดำรงตำแหน่ง
Vice President of Movies and Miniseries ในวอร์เนอร์บราเดอร์ส เทเลวิชั่น ก่อนหน้านั้นเป็น Vice President ด้าน Motion Pictures and Television ให้กับวอลท์ ดิสนีย์เป็นเวลาสองปีซึ่งเธอดูแลผลงานเรื่อง The Color of Money, Adventures in Babysitting, และ The Good Mother
และก่อนหน้านี้ทำงานให้กับยูนิเวอแซล พิคเจอร์สเป็นเวลาหนึ่งปีในตำแหน่ง Vice President of Feature Production หลังจากทำงานเป็นเวลาห้าปีที่ CBS เป็น Director of Motion Picture for Television ซึ่งได้สร้างผลงานมีชื่ออย่างเรื่อง Gideon's Trumpet, Silence of the Heart, และ The Burning Bed โรเซนธัลอยู่ในระหว่างการผลิตเรื่อง About A Boy นำโดย ฮิว แกรนท์ และเรเชล ไวซ์ให้กับยูนิเวอแซล พิคเจอร์ส
วิล สมิธ (ผู้บริหารและดำเนินงานสร้าง) กำลังได้รับเสียงชื่นชมจากผลงานแสดงนำในเรื่อง Ali ภาพยนต์ชีวประวัตินักชกมวยผู้โด่งดัง และเพิ่งจบจากการถ่ายทำเรื่อง Men in Black II ซึ่งเป็นการกลับมาพบกันของเขาและทอมมี่ ลี โจนส์ โดยการกำกับของแบร์รี่ ซอนเนอฟิลด์สมิธได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดรารานำชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง The Legend of Bagger Vance และเขานำแสดงใน Wild Wild West ซึ่งเพลงนำติดอันดับโกล์ด และผลงานเพลงประกอบซึ่งผลิตโดยบริษัทของเขา Overbrook Entertainment ติดอันดับแพลททินั่ม ผลงานสร้างชื่อ ได้แก่ Enemy of the State, Men in Black, Independence Day, Bad Boys, Six Degrees of Separation, Made in America และ Where the Day Takes You เขาได้รับเกียรติจาก NATO/ShoWest ให้เป็น Male Star of Tomorrow และได้รับรางวัล International Box Office Achievement และยังได้เป็น 1999 Entertainer of the Year จาก NAACP Image Awards สมิธมีผลงานเพลงแพลทินั่มและมัลติ-แพลทตินั่มมากมาย รวมทั้งได้รับรางวัลแกรมมี่สองรางวัล และสามรางวัลจาก American Music Awards เขาเริ่มมีชื่อเสียงในงานโทรทัศน์ใน The Fresh Prince of Bel Air เขาร่วมหุ้นกับเจมส์ แลสิเทอร์ ในบริษัท Overbrook Entertainment
เจมส์ แลสิเทอร์ (ผู้บริหารและดำเนินงานสร้าง) เพื่อนร่วมหุ้นของวิล สมิธ ใน Overbrook Entertainment และเป็นผู้อำนวยการผลิตเรื่อง Ali, ซึ่งแสดงนำโดย สมิธ ล่าสุดเพิ่งได้รับรางวัล 2000-2001 Outer Circle Critics Award จากเรื่อง Jitney ละครนอกบรอดเวย์ ซึ่งเขาเป็นผู้ผลิตและกำลังแสดงอยู่ที่ London's West End National Theatre ผลงานเพลงของเขายังได้รับคำชื่นชมและรางวัล American Music Awards จากซาวน์ดแทรคในเรื่อง Men in Black และ Wild Wild West
อีริค แมคลีออด (ผู้บริหารและดำเนินงานสร้าง) อยู่ในระหว่างดำเนินงานสร้างเรื่อง Austin Powers ให้กับนิวไลน์ ซีเนม่า
เคยมีผลงานผลิตให้กับดิสนีย์ เรื่อง Bubble Boy, The Cell แสดงโดยเจนนิเฟอร์ โลเปซ และ Austin Powers: The Spy Who Shagged Me และ Austin Powers: International Man of Mystery ทั้งสองเรื่องแสดงเป็นของไมค์ ไมเออร์ส
แมคลีออดยังเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมในเรื่อง Living Out Loud ของนิวไลน์ ซีเนม่า กำกับการแสดงโดยริชาร์ด ลา กราฟเนส, เรื่อง Wag the Dog กำกับโดยแบร์รี่ เลวินสัน, เรื่อง Now and Then นำแสดงโดยเดมี มัวร์ และเรื่อง Feeling Minnesota นำแสดงโดยคาเมรอน ดิอาซ และ คีนู รีฟ
ผลงานมีชื่อเสียงยังได้แก่ Corrina, Corrina และเรื่อง Even Cowgirls Get the Blues. โดยกัส แวนเซนส์ เขาเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตเรื่อง Enemy of the State, 8 Seconds, Wide Sargasso Sea, The Rapture, Faith และ Live Wire
บ้านของเขากับภรรยาและลูกๆ ทั้งสามคนอยู่ในลอส แอนเจลิส
บรูซ เบอร์แมน (ผู้บริหารและดำเนินงานสร้าง) เริ่มงานในแผนกโปรดักชั่นของวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส และไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารจนกระทั่งได้รับตำแหน่ง President of Worldwide Theatrical Production ภายใต้การดูแลของเขามีภาพยนต์ได้รับรางวัลอาทิเช่น Driving Miss Daisy, รวมทั้ง GoodFellas, Presumed Innocent, Robin Hood: Prince Of Thieves, Batman Forever, Malcolm X, The Bodyguard, JFK, The Fugitive, Dave, A Time To Kill และ Twister.
ในปี 1996 เบอร์แมนก่อตั้ง Plan B Entertainment ซึ่งเป็นเครือข่ายโปรดักชั่นให้กับวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส ซึ่งต่อมาได้ถูกรวมกิจการโดยวิลเลจโรดโชว์ พิคเจอร์ส ซึ่งปัจจุบันเบอร์แมนดำรงตำแหน่ง Chairman and Chief Executive Officer ของบริษัท ขณะนี้มีผลงานกว่า 20 เรื่องที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการผลิตเพื่อวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส ล่าสุดเบอร์แมนเป็นผู้บริหารและดำเนินงานสร้างให้กับภาพยนต์ที่ประสบความสำเร็จมากเช่น Training Day, Cats & Dogs, Three Kings, The Matrix, Analyze This, Deep Blue Sea, Practical Magic, Space Cowboys และ Ocean's 11 โดยสตีเวน สปิลเบิร์ก ด้วยความร่วมมือของวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์ส และวิลเลจโรดโชว์ รวมทั้งหนังเบาสมองเรื่อง Miss Congeniality ผลงานผลิตร่วมกันของวอร์เนอร์บราเดอร์ส พิคเจอร์สและคาสเซิลร็อค เอนเตอร์เทนเมนท์ เบอร์แมนยังเป็นผู้บริหารงานสร้างให้กับภาคต่ออีกสองภาคของภาพยนต์ยอดฮิตเรื่อง The Matrix ซึ่งอยู่ในระหว่างการถ่ายทำ
คีธ ชารอน (บทภาพยนต์) เรื่องนี้เป็นผลงานเขียนบทภาพยนต์เรื่องแรกของเขา ส่วนเรื่องที่จะตามมา คือ Peach Fuzz ทำให้กับ Thousand Words Pictures
ชารอนเป็นผู้สื่อข่าวให้กับ Orange County Register หนังสือพิมพ์รายวันของแคลิฟอร์เนียใต้ เขาและภรรยาแนนซี กิล มีบ้านที่ Rancho Santa Margarita อยู่กับลูกแฝดอายุ 6 ขวบของพวกเขา อลิสันและไดเลน
อัลเฟรด กัฟ & ไมล์ส มิลลาร์ (บทภาพยนต์) พวกเขากำลังอยู่ในระหว่างการเขียนเรื่อง Shanghai Knights ให้กับดิสนีย์และสปายกลาส เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นภาคต่อของ Shanghai Noon แอ็คชั่นคอมเมดี้ฮิตซึ่งนำโดยเฉินหลง, โอเวน วิลสัน และลูซี่ หลิว ซึ่งกวาดรายได้ไปกว่า 100 ล้านเหรียญ อันเป็นผลงานเขียนบทของทั้งคู่
กัฟ และ มิลลาร์ยังเป็นผู้ริเริ่มรวมทั้งบริหารและอำนวยการสร้างซีรี่ส์เรื่อง Smallville, เรื่องราวของคลาร์ก เค้นท์ ตอนเป็นวัยรุ่น ให้กับ WB
ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขายังรวมถึง Lethal Weapon 4 และ Double Tap ของ HBO และเรื่อง Made Men ทั้งสามเรื่องเป็นผลงานผลิตโดย โจเอล ซิลเวอร์และริชาร์ด ดอนเนอร์
กัฟและมิลลาร์เริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาใน Peter Stark Producing Program ที่ USC ใน Los Angeles ซึ่งได้เขียนผลงานสคริปท์มีระดับขายให้กับนิวไลน์ซีเนม่า เรื่อง Mango อันเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมเขียนและผลิตตั้งแต่นั้นมา
บิลลี่ เวเบอร์ (ลำดับภาพ) เมื่อไม่นานมานี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองด้านลำดับภาพจากเรื่อง The Thin Red Line ให้กับผู้กำกับเทอร์เรนซ์ มาลิค ซึ่งเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่เรื่อง Days of Heaven เมื่อครั้งเริ่มเข้าสู่วงการเวเบอร์ได้ถูกเสนอชื่อเพื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทองจากเรื่อง Top Gun มาแล้วผลงานหลากหลายของเขา ได้แก่ Iceman, Beverly Hills Cop and Beverly Hills Cop 2, Pee Wee's Big Adventure, Midnight Run, Days of Thunder, Pure Luck, Grumpier Old Men, Murder at 1600 และ Miss Congeniality นอกจากนี้เขายังเคยร่วมลำดับภาพให้กับเรื่อง Warriors, 48 Hours, Extreme Prejudice, The Cowboy Way และ Bulworth เเวเบอร์เกิดและเติบโตในลอส แอนเจลิส เมื่อตอนที่ทำงานเป็นนักวิจัยใน UCLA เขาได้พบกับซิด เลวิน ผู้กำกับภาพซึ่งเป็นผู้แนะนำให้เขาเข้าวงการ เขาเริ่มงานด้านภาพยนต์เป็นครั้งแรกในปี 1966 ในห้องอัดที่ MCA หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เข้าทำงานในห้องตัดต่อและเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัดให้กับซีรี่ส์โทรทัศน์เรื่อง Name of the Game เขาเขียนสคริปท์สองตอนก่อนที่จะได้เป็นผู้ช่วยผู้ลำดับภาพเรื่อง The Candidate และเมื่อได้รับการแนะนำให้พบกับบ๊อบ เอสตริน เขาก็ได้รับว่าจ้างให้เป็นผู้ช่วยให้กับงานมีชื่อของเทอร์เรนซ์ มาลิคใน Badlands.
เจฟ แมนน์ (ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์) ผลงานเรื่องแรกด้านการออกแบบศิลป์ให้กับผู้กำกับโดมินิค ซีนา เรื่อง Gone In 60 Seconds หลังจากที่เคยทำงานเป็นผู้ออกแบบฉากในเรื่อง Kalifornia เขายังออกแบบฉากให้กับเรื่องระทึกขวัญล่าสุด Swordfish และกำลังอยู่ในระหว่างทำงานให้กับเรื่อง Terminator 3.
ก่อนทำงานในวงการภาพยนต์ แมนน์ผ่านประสพการณ์หลากหลายซึ่งทำให้เขามีมุมมองที่แตกต่างออกไป การทำงานด้านศิลปะและเพลงมิวสิควิดีโอปูทางให้เขาไปจับงานด้านโฆษณาโทรทัศน์ ความสามารถด้านศิลปะและความขยันขันแข็งซึ่งมีอยู่ในตัวของเขาเป็นบันไดที่ทำให้เขาก้าวหน้าขึ้น จนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้กำกับศิลป์ และในปี 1995 เขาได้อยู่ในธุรกิจซึ่งนับได้ว่าเป็นสุดยอดผู้ผลิตแห่งอุตสาหกรรมหนังโฆษณา ประวัติการทำงานของเขายังรวมถึงหนังโฆษณามากมายที่ได้รับรางวัล ซึ่งทำให้กับผู้กำกับอย่างโดมินิค ซีนา, ไมเคิล เบย์, แซมมวล ไบเออร์, และ อังตวน ฟูกวา ลูกค้ามีชื่อเสียงของแมนน์ได้แก่ Mercedes, Canon, Budweiser, RCA, Nike, L'Oreal, Lexus, Sony, Levi's American Express, Black & Decker, Kodak, Nike และ Coca-Cola
โธมัส คลอส (ผู้กำกับภาพ) มีประสพการณ์หลากหลายตั้งแต่งานภาพยนต์ โฆษณาโทรทัศน์ และมิสิควิดีโอที่น่าประทับใจมากมาย ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติถึงสองครั้งจาก Austrian National Award ในด้านกำกับภาพยอดเยี่ยม ในปี 1986 และอีกครั้งในปี 1987
ผลงานภาพยนต์เรื่องแรกของคลอสร่วมกับปีเตอร์ เมดักในเรื่อง Pontiac Moon และต่อจากนั้นกับเจมส์ โฟลี่ย์ ในเรื่อง Fear และเรื่อง Palmetto ให้กับผู้กำกับโวล์กเกอร์ ชโลเอนดอร์ฟ
ผลงานโฆษณาที่สร้างชื่อให้เขาได้แก่ Old Navy, L'Oreal, Honda, On Star Communications, Verizon, Chevy, Coke, Jaguar และ Showtime
นอกจากนี้ คลอสยังเป็นผู้กำกับภาพให้กับมิวสิควิดีโอของศิลปินมากมายอาทิเช่น Aaliyah, Aerosmith, Lil' Kim, Jennifer Lopez, Busta Rhymes, Ben Harper, Third Eye Blind, Bon Jovi, Faith Hill, Madonna, Lenny Kravitz, Will Smith และ Bush
อลัน ซิลเวสทรี (ดนตรีประกอบ) ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และแกรมมี่ อีกทั้งยังเคยร่วมงานกับภาพยนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงหลายเรื่อง เขามีผลงานแต่งมากกว่า 70 เพลง ในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เรื่องแรก The Doberman Gang จนกระทั่งในเรื่องล่าสุด The Mummy Returns ซึ่งเขาเป็นผู้กำกับให้วงออเคสตร้าเครื่องดนตรี 100 ชิ้นและนักร้องประสานเสียง 30 คน ซิลเวสทรีร่วมงานกับโรเบิร์ต เซเมคิสในปี 1984 ในภาพยนต์ที่ยืนโรงนานเป็นประวัติการณ์ของฮอลลีวู้ดเรื่อง Romancing the Stone และเพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นของผู้กำกับและผู้แต่งเพลงพวกเขามีผลงานร่วมกันต่อมาอีกเก้าเรื่องซึ่งรวมถึง Back to the Future ทั้ง 3 ภาค ซึ่งผู้ประพันธ์เพลงได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ และเรื่อง Who Framed Roger Rabbit ซึ่งเขาได้รับเสนอชื่อชิงอีกถึงสองรางวัลด้วยกัน, เรื่อง Death Becomes Her, และเรื่อง Forrest Gump ภาพยนต์หลายรางวัลออสการ์ และได้รับการเสนอชื่อชิงทั้งรางวัลออส การ์และแกรมมี่ รวมทั้งเรื่อง Contact, What Lies Beneath และ Cast Away ซิลเวสทรีได้รับรางวัล CableACE Award จากผลงานที่ทำให้กับ HBO เรื่อง Tales From the Crypt ในจำนวนเพลงประกอบมากมายที่ซิลเวสทรีประพันธ์ให้กับภาพยนต์โด่งดังทั้งหลายและผู้สร้างภาพยนต์ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานั้น ได้แก่งานของจอห์น แมคเทียแนน เรื่อง Predator; เรื่อง The Abyss ของเจมส์ คาเมรอน ; เรื่อง Father of the Bride โดยชาร์ลส ไชเออร์ และเพลงแห่งความทรงจำซึ่งขับร้องโดยวิทนี่ย์ ฮูสตัน ในเรื่อง The Bodyguard; เรื่อง Stuart Little โดยร็อบ มินคอฟ เรื่อง The Mexican โดยกอร์ เวอร์บินสกี้ และล่าสุดเรื่อง What Women Want ซิลเวสทรีเป็นชาวแมนฮัทตันแต่กำเนิด เขามีความสนใจเพลงแจ๊ซในสมัยเด็กและได้ตั้งวงแจ๊ซที่มีชื่อแห่งบอสตันในนามของ Berklee College of Music ในปี 1968 สองปีหลังจากนั้นเขาเล่นที่ลาสเวกัสกับเวย์น โคแครน และ C.C. Riders หลังจากย้ายมาพำนักในลอสแอนเจลิสเพื่อทำงานตามสัญญาเพลงซึ่งล้มเหลว เขาจึงได้สมัครทำงานกับแบรดฟอร์ด เครก นักประพันธ์ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานกับควินซี่ โจนส์ โดยรับหน้าที่เล่นกีต้าร์เพลงตัวอย่าง ในปี 1972 ซิลเวสทรีถูกทาบทามให้แต่งเพลงสำหรับภาพยนต์ - สิ่งที่นักดนตรีอ่อนวัยไม่เคยทำมาก่อน เขาตอบรับโอกาสอันท้าทายนั้น และทำงานแต่งเพลงร่วม The Doberman Gang หลังจากนั้นมีผลงานให้กับรายการโทรทัศน์ยอดนิยมกว่า 120 ตอน เรื่อง CHiPs ให้กับ MGM ก่อนได้รับการแนะนำให้กับโรเบิร์ต เซเมคิส ซึ่งนำเขาไปสู่การร่วมงานในเรื่อง Romancing the Stone.-- จบ--
-สส-
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit