(ต่อ12) บทประชาสัมพันธ์ Leave No Man Behind แบล็ค ฮอร์ค ดาวน์ ยุทธการฝ่ารหัสทมิฬ ฉายวันที่ 8 พฤษภาคม 2545

29 Jan 2002

กรุงเทพฯ--29 ม.ค.--โคลัมเบีย ไทรสตาร์

ไมเคิล รูฟ (Michael Roof) ในบทพลทหารแม๊ดด็อกซ์ สังกัดหน่วยแรนเจอร์

ไมเคิล รูฟมีบทบาทแสดงนำอยู่ในซีรีส์แนวตลกของวอร์เนอร์เน็ตเวิร์กเรื่อง Hype และยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงตลกรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีที่สุด เมื่อไม่นานมานี้ รูฟได้รับเลือกให้ไปร่วมแสดงกับวิน ดีเซล และซามวล แอล แจ็คสัน ในภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นทริลเลอร์ของผู้กำกับร็อบ โคเอนเรื่อง XXX

จอร์จ แฮร์ริส (George Harris) ในบทออสแมน อ๊อตโต้

จอร์จ แฮร์ริสคือนักแสดงที่ปักหลักอยู่ในสหราชอาณาจักร และเป็นนักแสดงที่มีผลงานทั้งทางด้านภาพยนตร์และทีวีมากมาย ผลงานด้านภาพยนตร์ของเขา ได้แก่ Yanks, Flash Gordon, Raiders of the Lost Ark, Ragtime, The Browning Version, Carmilla and Madeline รวมไปถึงภาพยนตร์ทีวีเรื่องยาวและมินิซีรีส์เรื่อง Cat on a Hot Tin Roof, Prime Suspect 2, Bermuda Grace, Simisola และ Gulliver's Travels แฮร์ริสยังเคยไปร่วมแสดงในฐานะนักแสดงรับเชิญในซีรีส์เรื่อง The Sweeney, Dempsey & Makepeace, Highlander, Dangerfield และ Bodyguards

ราซาค เอดอติ (Razaaq Adoti) ในบทโมอาลิม

ราซาค เอดอติเคยรับบทเป็นแยมบ้า ทาสคนหนึ่งที่ถูกนำตัวมาพิจารณาคดีในภาพยนตร์ของสตีเว่น สปีลเบิร์กเรื่อง Amistad นักแสดงชาวลอนดอนผู้นี้เคยได้รับการฝึกฝนฝีมือที่ Central School of Speech and Drama ตั้งแต่ปี 1992-1995 เขายังเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ The National Youth and Music Theatre Company ผลงานทางด้านภาพยนตร์ในอังกฤษของเขา ได้แก่เรื่อง Gangster Number One และ Remember Me ราซยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ทีวีของอังกฤษหลายเรื่อง อาทิเช่น Men Only, Dream Team, Attachments, The Bill, The Vanishing Man, Soldier, Soldier และภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับรางวัลบัฟต้าเรื่อง Holding on

ผลงานด้านละครเวที ราซเคยร่วมแสดงในละครเรื่อง Antony และ Cleopatra ที่ The Royal National Theatre, ละครเรื่อง Aesop ที่ Edinburgh Festival และเรื่อง Guys and Dolls ที่ Young Vic

เทรว่า อีเทียนน์ (Treva Etienne) ในบทฟิริมบี

เทรว่า อีเทียนน์คือนักแสดงผู้เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ที่เคยฝากบทบาทการแสดงอันน่าประทับใจไว้ในภาพยนตร์ของสแตนลีย์ คูบริกเรื่อง Eyes Wide Shut หลังจากที่เคยฝากผลงานการแสดงทางทีวีเอาไว้มากมาย เขาเคยแสดงบทรับเชิญในรายการทีวีของอังกฤษมาแล้วหลายครั้ง อาทิเช่น ซีรีส์เรื่อง Casualty, The Lenny Henry Show, London's Burning และ The Paradise Club และมินิซีรีส์เรื่อง Holding On และ The Last Train

ไท เบอร์เรลล์ (Ty Burrell) ในบทจ่าสิบเอกทิม วิลกินสัน ช่างเทคนิคประจำหน่วยแอร์ฟอร์ซ

ไท เบอร์เรลล์ได้ร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ของ ไอแวน ไรต์แมน เรื่อง Evolution ผลงานทางด้านละครเวทีนั้น เขาเคยร่วมแสดงอยู่ในผลงานของแซม เชพพาร์ดเรื่อง Fool for Love, You Can't Take It With You, Alice in Wonderland, Man of La Mancha, Cloud Nine, Pericles, Henry V, A Midsummer Night's Dream, The Lion in Winter, Twelfth Night, King John และ Macbeth เบอร์เรลล์ยังมีบทบาทรับเชิญในตอนหนึ่งของซีรีส์เรื่อง Law & Order

บอยด์ เกสต์เนอร์ (Boyd Kestner) ในบทผู้บัญชาการไมก์ กอฟฟีน่า

ก่อนหน้านี้ บอยด์ เกสต์เนอร์เคยทำงานกับริดลีย์มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง G.I. Jane และ Hannibal ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่เรื่อง The Running Man, The General's Daughter, Entertaining Angels: The Dorothy Day Story และ Snakeskin เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องยาวที่ฉายทางทีวีเรื่อง Somebody's Daughter, Amy Fisher: My Story และ Ray Alexander: A Taste for Justice รวมไปถึงซีรีส์เรื่อง Diagnosis: Murder และ Ally Mcbeal ในอนาคต เกสต์เนอร์จะร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ของวอร์เนอร์เรื่อง Divine Secrets of the Ya Ya Sisterhood

เจสัน ฮิลเดแบรนด์ (Jason Hildebrandt) ในบทผู้บัญชาการแดน จอลลาต้า

เจสัน ฮิลเดแบรนด์เคยรับบทรับเชิญในซีรีส์เรื่อง Sins of the City และ Diagnosis Murder และยังร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง The Dinner Party, Brokers, Cyertalking และ The Pig Farm

9เกี่ยวกับทีมสร้าง

ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) - ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง

เมื่อไม่นานมานี้ ริดลีย์ สก็อตต์ได้กำกับภาพยนตร์ที่ได้รับทั้งคำชมและประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ถึงสองเรื่อง คือภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ระดับเอพิคที่ปลุกเมืองโรมโบราณให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Gladiator ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 12 รางวัล (ซึ่งก็รวมถึงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของสก็อตต์ด้วย) และประสบความสำเร็จกับการคว้ารางวัลออสการ์มาได้ถึง 5 รางวัล (รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และดารานำชายยอดเยี่ยมของรัสเซลล์ โครว์) Gladiator ยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลบัฟต้า ซึ่งเปรียบเสมือนรางวัลออสการ์ของอังกฤษ ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผลงานอีกเรื่องหนึ่งของสก็อตต์ในปีเดียวกันนั้น ก็คือ Hannibal ซึ่งสร้างมาจากหนังสือของโธมัส แฮร์ริส ที่เป็นเรื่องราวต่อจากเรื่อง The Silence of the Lambs และนำแสดงโดยแอนโธนี่ ฮอปกิ้นส์ และจูเลียน มัวร์ ภาพยนตร์สองเรื่องนี้ได้ช่วยตอกย้ำความเป็นผู้กำกับที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของยุคนี้ของสก็อตต์ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เคยฝากผลงานยอดเยี่ยมเอาไว้แล้วมากมายหลายเรื่อง อาทิเช่น Alien, Blade Runner และ Thelma and Louise

สก็อตต์เกิดในเซาธ์ชีลด์ส, นอร์ธธัมเบอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ ก่อนจะมาเติบโตที่ลอนดอน, คัมเบรีย, เวลส์ และเยอรมัน ต่อมา สก็อตต์ได้เดินทางกลับไปยังบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในสต็อคตัน ออน ทีส์ เขาได้เข้าเรียนที่เวสต์ ฮาร์ตลีพูล คอลเลจ ออฟ อาร์ต ในสาขากราฟฟิกดีไซน์และการวาดภาพ สก็อตต์ยังเข้าไปศึกษาที่ โรยัล อคาเดมี่ ออฟอาร์ต ซึ่งเพื่อนที่ร่วมเรียนกับเขาในตอนนั้นก็รวมถึงเดวิด ฮ็อกนีย์ด้วย และ ณ ที่นั่นเองที่สก็อตต์ได้สร้างภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่องแรกของเขา

หลังจากสำเร็จการศึกษาพร้อมปริญญาเกียรตินิยมแล้วสก็อตต์ยังได้รับทุนการศึกษาให้เดินทางมาเรียนที่อเมริกานานหนึ่งปี ในช่วงเวลานั้น สก็อตต์ได้รับการว่าจ้างจากไทม์ไลฟ์ อิงค์ และนั่นก็ทำให้เขามีโอกาสได้ทำงานร่วมกับนักถ่ายทำสารคดีระดับคว้ารางวัลอย่าง ริชาร์ด เลียค็อก และดีเอ เพนเนเบเกอร์ เมื่อเดินทางกลับมาอยู่ที่อังกฤษ สก็อตต์ได้เข้าทำงานที่บีบีซีในตำแหน่งโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ และภายในเวลาหนึ่งปี เขาก็ได้รับเลือกขั้นมาสู่ทีมกำกับ

สามปีผ่านไป สก็อตต์ลาออกมาตั้งบริษัท อาร์เอสเอ ด้วยตัวเอง ซึ่งต่อมา บริษัทแห่งนี้ได้กลายเป็นบริษัทโปรดักชั่นเฮ้าส์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งหนึ่งในยุโรป อาร์เอสเอที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในลอนดอน, นิวยอร์ก และลอสแอนเจลิส เป็นตัวแทนนำเสนอผลงานของผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องที่สุดหลายคนในวงการโฆษณา

สก็อตต์เริ่มกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยผลงานเรื่อง The Duellists ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลจูรี่ไพรซ์ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในปี 1978 ผลงานเรื่องที่ 2 ของเขาคือเรื่อง Alien ที่สร้างชื่อเสียงให้ และยังเป็นภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลออสการ์สเปเชียล เอฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยมอีกด้วย ติดตามมาด้วยภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์แนวไซไฟที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ เรื่อง Blade Runner ที่นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ด ผลงานการกำกับเรื่องอื่นๆ ของสก็อตต์ ได้แก่ Legend ที่นำแสดงโดยทอม ครู้ซ, Someone to Watch Over Me ที่นำแสดงโดยทอม เบอร์เรนเจอร์ และภาพยนตร์เรื่อง Black Rain ที่นำแสดงโดยไมเคิล ดักลาส และแอนดี้ การ์เซีย

ในปี 1987 สก็อตต์ได้ตั้งบริษัทเพอร์ซี่ เมน โปรดักชั่นส์ เพื่อสร้างและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัทเพอร์ซี่ เมน ก็คือ ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ Thelma & Louise ที่นำแสดงโดยซูซาน ซาแรนดอน และจีน่า เดวิส ติดตามมาด้วยภาพยนตร์เรื่อง 1492: Conquest of Paradise ที่นำแสดงโดยเจอราร์ด เดอปาดิเออ ผู้รับบทเป็นคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้สก็อตต์เป็นคนกำกับเองอีกเช่นกัน สก็อตต์ยังทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Browning Version ที่กำกับโดยไมก์ ฟิกกิส และนำแสดงโดยอัลเบิร์ต ฟินนีย์ และเกรต้า สแค๊คชี่

ในปี 1995 สก็อตต์และโทนี่ น้องชายของเขา ได้ก่อตั้งบริษัทสก็อตต์ ฟรี โปรดักชั่นส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตทั้งภาพยนตร์จอเงินและจอแก้ว นับแต่เริ่มดำเนินการมา สก็อตต์ฟรีได้ผลิตภาพยนตร์อย่าง White Squall ที่นำแสดงโดยเจฟฟ์ บริดเจส และ G.I.Jane ที่นำแสดงโดยเดมี่ มัวร์ ซึ่งทั้งสองเรื่องสก็อตต์ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับเช่นกัน เขายังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Clay Pigeons ที่นำแสดงโดยวินซ์ วอห์น และเรื่อง Where the Money Is ที่นำแสดงโดยพอล นิวแมน สก็อตต์ฟรียังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Hunger ซึ่งเป็นซีรีส์ที่คว้ารางวัล CableAce ให้กับโชว์ไทม์ สก็อตต์ยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์ของ HBO ที่คว้ารางวัลเอมมี่และรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง RKO 281 ที่นำแสดงโดยลิฟ ชเรเบอร์, เจมส์ ครอมเวลล์ และเมลานี่ กริฟฟิธ

ริดลีย์ สก็อตต์คือประธานร่วมของไพน์วู้ด-เชพเพอร์ตัน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นเจ้าของโรงถ่ายเชพเพอร์ตัน สตูดิโอ และไพน์วู้ด สตูดิโอ และยังเป็นประธานร่วมของบริษัทเดอะ มิลล์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตงานดิจิตอลและงานโพสต์โปรดักชั่นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในลอนดอนด้วย

เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) - ผู้อำนวยการสร้าง

เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาล คือ ผู้สร้างภาพยนตร์ที่รักการเล่าเรื่อง ภาพยนตร์ของเขาได้นำพาคนดูไปสู่การผจญภัยอันเหลือเชื่อ เมื่อคนดูเดินออกจากโรงภาพยนตร์ ทุกคนเป็นต้องประทับใจในตัวละครที่ยากจะลืมเลือน ความตื่นเต้นที่เกิดจากเนื้อเรื่อง และความทึ่งในประสบการณ์ใหม่

เราจึงต้องย้อนกลับไปดูภาพยนตร์ของเขาเรื่องแล้วเรื่องเล่าที่เริ่มต้นด้วยภาพสายฟ้าฟาด ด้วยรายรับจากทั่วโลกทั้งจากภาพยนตร์ ทีวี วิดีโอ และผลงานเพลงที่ทำรายได้ไปกว่า $12.5 พันล้าน ทำให้บรัคไฮเมอร์ได้รับคำชม และการยอมรับนับถือจากผลงานที่เขาได้สร้างสรรค์ไว้ และการอุทิศตนให้กับคนดูทั่วโลก

บรัคไฮเมอร์เป็นนักเล่าเรื่อง เขาเริ่มต้นด้วยเรื่องราวขนาดสั้น เรื่องราวที่มีความยาว 60 วินาทีที่เขาสร้างสมัยที่เป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์โฆษณาที่คว้ารางวัลต่างๆ มากมายในดีทรอยต์ เมืองบ้านเกิดของเขา ภาพยนตร์มินิฟิล์มที่เขาสร้างขึ้นล้อเลียนภาพยนตร์เรื่อง Bonnie and Clyde ให้กับบริษัทปอนเตียค ได้รับการยกย่องในหนังสือ Time Magazine และเป็นตัวนำผู้อำนวยการสร้างวัยเพียง 23 ปีไปสู่ความสนใจของบริษัทโฆษณา บีบีดี&โอ ซึ่งชักนำเขามาสู่นิวยอร์ก

(ยังมีต่อ)

-สส-

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit