(ต่อ13) บทประชาสัมพันธ์ Leave No Man Behind แบล็ค ฮอร์ค ดาวน์ ยุทธการฝ่ารหัสทมิฬ ฉายวันที่ 8 พฤษภาคม 2545

29 Jan 2002

กรุงเทพฯ--29 ม.ค.--โคลัมเบีย ไทรสตาร์

สี่ปีที่เมดิสันอะเวนิวได้มอบประสบการณ์และความเชื่อมั่นให้กับบรัคไฮเมอร์ในการจัดการกับฮอลลีวู้ด ด้วยวัยที่ยังไม่ถึง 30 ปี บรัคไฮเมอร์คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่อง Farewell, My lovely และ American Gigolo

โปรเจกต์ในยุคแรกๆ ก็คือ ภาพยนตร์ปี 1983 เรื่อง Flashdance ที่ทำให้เจนนิเฟอร์ บีลส์กลายเป็นดาราสาวเรียกคนดู และทำให้สไตล์การเต้นแบบแอโรบิกเป็นที่นิยม และยังทำให้ชีวิตของบรัคไฮเมอร์เปลี่ยนแปลงไปเมื่อภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวทำรายได้เฉพาะในอเมริกาก็เก็บกวาดไปถึง $100 ล้านแล้ว และยังเป็นการจับคู่เขากับผู้อำนวยการสร้างดอน ซิมป์สัน ผู้กลายมาเป็นหุ้นส่วนของบรัคไฮเมอร์ตลอด 14 ปีต่อมา

บรัคไฮเมอร์และซิมป์สัน ซึ่งกลายเป็นหุ้นส่วนที่สร้างผลกำไรได้มากที่สุดคู่หนึ่ง เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 15 รางวัล คว้ารางวัลออสการ์มาได้สองตัวในสาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม รางวัลแกรมมี่สี่รางวัล รางวัลลูกโลกทองคำสามรางวัล รางวัลพีเพิลชอยซ์สองรางวัลในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลเอ็มทีวีภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ

ที่สำคัญต่อบรัคไฮเมอร์พอกัน ในฐานะที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างสรรค์ ก็คือ ความจริงที่ว่าภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องได้ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับดารานำมาแล้วหลายคน เช่น Beverly Hills Cop ได้ช่วยสร้างความโด่งดังให้กับเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ และ Top Gun ทำให้ทอม ครู้ซ กลายเป็นดาราระดับซูเปอร์สตาร์

คำชมจากทั่ววงการเดินตามความสำเร็จทางด้านรายได้มาติดๆ ในปี 1985 และ 1988 The National Association of Theater Owners (นาโต้) ได้ยกย่องให้บรัคไฮเมอร์ เป็นผู้อำนวยการสร้างแห่งปี และยังได้รับเลือกจาก The Publicists Guild of America ให้ครองตำแหน่ง Motion Picture Showman of the Year ในปี 1988 ร่วมกับดอน ซิมป์สัน

ในปี 1995 บรัคไฮเมอร์และซิมป์สันได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตอีกเรื่องหนึ่ง เฉพาะในปีนั้น บรัคไฮเมอร์ต้องรับผิดชอบดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Bad Boys ภาพยนตร์ที่เป็นการจับคู่ระหว่างวิลล์ สมิธ/มาร์ติน ลอว์เรนซ์ ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปีนั้นของโคลัมเบีย พิคเจอร์ส, Dangerous Minds ผลงานการแสดงที่ได้รับคำชมของมิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ และ Crimson Tide ภาพยนตร์ผจญภัยที่นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตัน และยีน แฮ็กแมน

ในปี 1996 บรัคไฮเมอร์อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Rock ที่นำแสดงโดยฌอน คอนเนอรี่ และนิโคลาส เคจ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ และเป็นการสานต่อประเพณีของบรัคไฮเมอร์ด้วยการมีภาพยนตร์ทำรายได้ที่ทำเงินจากทั่วโลกไปกว่า $350 ล้าน และยังเป็นภาพยนตร์ที่สร้างสถิติยอดการเช่าด้วยการเป็นภาพยนตร์ที่มีคนสั่งจองสูงสุดในประวัติศาสตร์ การเลือกนักแสดงของบรัคไฮเมอร์ในภาพยนตร์เรื่อง The Rock นี้ ทำให้คอนเนอรี่ได้กลับมาเป็นดาราภาพยนตร์แอ็กชั่นอีกครั้ง และยังสร้างภาพลักษณ์เดียวกันนั้นให้กับเคจด้วย The Rock ได้รับการยกย่องจากนาโต้ให้เป็นครองตำแหน่ง Favorite Movie of the Year และเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่เขาได้ร่วมงานกับซิปม์สัน ซึ่งเสียชีวิตไปในระหว่างที่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวกำลังดำเนินงานสร้างอยู่

บรัคไฮเมอร์ที่ตอนนี้เหลือตัวคนเดียว สร้างสรรค์ผลงานติดตามออกมาในปี 1997 ด้วยภาพยนตร์เรื่อง Con Air ซึ่งทำให้เคจกลายเป็นดาราแอ็กชั่นชื่อดังไปทั่วโลก และภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำรายได้ไปสูงถึง $230 ล้าน ได้รับรางวัลแกรมมี่ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สองรางวัล และทำให้บรัคไฮเมอร์กลายเป็นผู้อำนวยการสร้างที่ทั่วโลกให้ความสนใจ ในปี 1999 บรัคไฮเมอร์ได้รับรางวัล ShoWest International Box Office Achievement Award ที่สามารถทำรายได้ในตลาดต่างประเทศได้แบบหาใครทัดเทียมได้

ในปี 1998 ทัชสโตน พิคเจอร์ส ได้เปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Armageddon ที่นำแสดงโดยบรู๊ซ วิลลิส, บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน, เบน อัฟเฟล็ค, ลิฟ ไทเลอร์ และสตีฟ บุสเซมี่ การผจญภัยในห้วงอวกาศนี้ เป็นผลงานการกำกับของไมเคิล เบย์ ซึ่งกลายเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี 1998 ที่ทำรายได้จากทั่วโลกไปกว่า $560 ล้าน อัลบัมซาวน์แทร็คของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้แอโรสมิธได้ออกซิงเกิลเพลงแรก ชื่อว่าเพลง I Don't Want To Miss a Thing ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ด้วย

ผลงานฮิตเรื่องที่ 2 ของบรัคไฮเมอร์ คือภาพยนตร์แนวทริลเลอร์สั่นประสาทเรื่อง Enemy of the State ที่นำแสดงโดยวิลล์ สมิธ และยีน แฮ็กแมน ซึ่งได้รับทั้งคำชมและรายได้ โดยสามารถเก็บเงินไปได้ $225 ล้าน

ปี 2000 เริ่มต้นด้วยการเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้คนในวงการ เมื่อบรัคไฮเมอร์ได้รับรางวัล David O. Selznick Award for Lifetime Achievement in Motion Pictures จากสมาคมผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกา

หลังจากได้รับการยกย่องเช่นนี้ บรัคไฮเมอร์ได้ผลิตภาพยนตร์ออกมาอีกสามเรื่อง เรื่องแรก คือ Gone in 60 Seconds ที่นำแสดงโดยนิโคลาส เคจ, แองเจลิน่า โจลี่, จิโอวานนี่ ริบิซี่, เดลรอย ลินโด และโรเบิร์ต ดูวัลล์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวฉายในเดือนมิถุนายน และสร้างสถิติเป็นภาพยนตร์ของบรัคไฮเมอร์ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดในสุดสัปดาห์ที่ไม่ใช่วันหยุด การนำภาพยนตร์ปี 1974 กลับมาสร้างใหม่นี้กลายเป็นภาพยนตร์ทำรายได้ โดยเก็บกวาดเงินจากทั่วโลกมาได้ถึง $230 ล้าน และในซัมเมอร์ปีเดียวกันนั้น บรัคไฮเมอร์ปล่อยภาพยนตร์ตลกโรแมนติกเรื่อง Coyote Ugly ออกฉายภายใต้ชื่อทัชสโตน พิคเจอร์ส โดยตัวภาพยนตร์พูดถึงเรื่องราวการผจญภัยของสาวนักแต่งเพลงคนหนึ่งในแมนฮัตตัน อัลบัมซาวน์แทร็คของภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งแต่งโดยไดแอน วอร์เรน และร้องโดย ลีแอนน์ ไรมส์ ยังคงติดชาร์ตบิลบอร์ดมาเป็นปีที่ 2 แล้ว

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2000 วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ได้เปิดตัวฉายภาพยนตร์เรื่อง Remember the Titans ที่นำแสดงโดยเดนเซล วอชิงตัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงอันแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของทีมฟุตบอลโรงเรียนไฮสกูลแห่งหนึ่งในเวอร์จิเนีย และสามารถสร้างความประทับใจให้กับคนดูด้วยการแสดงที่ตรึงอารมณ์ เรื่องที่ลึกซึ้ง ซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัล NAACP Image Award ในสาขา Outstanding Motion Picture และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลพีเพิลชอยซ์ ในสาขาภาพยนตร์ดราม่าที่เป็นที่ชื่นชอบ, รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และดารานำชายยอดเยี่ยม รวมไปถึงการทำรายได้เฉพาะในอเมริกาไปถึง $115 ล้าน

ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2000 บรัคไฮเมอร์ยังได้นำสัญลักษณ์รูปฟ้าผ่าบุกวงการทีวีด้วยภาพยนตร์เรื่อง C.S.I. ที่นำแสดงโดยวิลเลี่ยม ปีเตอร์สัน และมาร์ก เฮลเจนเบอร์เกอร์ ที่รับบทเป็นหนึ่งในทีมตรวจสอบที่เกิดเหตุชั้นหัวกะทิของลาสเวกัส C.S.I. ได้รับรางวัล TV Guide Award ในสาขาภาพยนตร์ดราม่าเรื่องใหม่ยอดเยี่ยม ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลพีเพิลชอยซ์ซีรีส์แนวดราม่ายอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่สี่รางวัล ซึ่งก็รวมถึงรางวัลดารานำหญิงยอดเยี่ยมของมาร์ก เฮลเจนเบอร์เกอร์ด้วย C.S.I. ได้รับคำชมทั้งจากนักวิจารณ์และคนดู และกลายเป็นซีรีส์ที่ครองอันดับหนึ่งของซีบีเอส เมื่อเร็วๆ นี้ บรัคไฮเมอร์ยังผลิตรายการใหม่ The Amazing Race ให้กับซีบีเอส ซึ่งเป็นรายการที่เป็นภาพเหตุการณ์จริงที่คู่สมรส 11 คู่ถูกส่งตัวเดินทางไปรอบโลก และมีแฟนติดตามดูเป็นประจำทุกคืนวันพุธ

ในวัน Memorial Day ของปี 2001 ดิสนีย์ได้เปิดตัวฉายภาพยนตร์เรื่อง Pearl Harbor ซึ่งกำกับโดยไมเคิล เบย์ และนำแสดงโดยเบน อัฟเฟล็ค, จอช ฮาร์ตเน็ตต์ และเคต เบคกินเซล และอเล็ค บอลด์วิน Pearl Harbor คือภาพยนตร์ที่เป็นการนำเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวและชวนช็อคเมื่อญี่ปุ่นบุกโจมตีฐานทัพอเมริกันอย่างกระทันหัน และเป็นเหตุชักนำให้อเมริกาเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยผสานไปกับเรื่องราวความรักที่มีเสน่ห์ จนทำรายได้ไปสูงถึง $450 ล้าน

บรัคไฮเมอร์ยังคงค้นหาและสร้างภาพยนตร์ที่จะเป็นตัวแทนของเขาในสหัสวรรษใหม่ต่อไป

Down and Under คือภาพยนตร์ตลกที่วางเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในออสเตรเลีย นำแสดงโดยเจอร์รี่ โอคอนเนลล์, แอนโธนี่ แอนเดอร์สัน, เอสเตลล่า วอร์เรน และคริสโตเฟอร์ วอลเกน และถือเป็นผลงานการร่วมมือระหว่างบรัคไฮเมอร์และแคสเซิล ร็อค พิคเจอร์เป็นเรื่องแรก

แอนโธนี่ ฮอปกิ้นส์ และคริส ร็อค จะมาแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Bad Company ให้กับทัชสโตน พิคเจอร์ส ในผลงานแนวแอ็กชั่น/ตลก ซึ่งกำกับโดยโจเอล ชูมาเกอร์ และมีกำหนดจะเปิดตัวฉายในเดือนมิถุนายน ปี 2002

ปัจจุบัน บรัคไฮเมอร์อยู่ระหว่างการเตรียมงานพรีโปรดักชั่นให้กับภาพยนตร์เรื่อง Chasing the Dragon ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวประวัติของนักข่าวสาวชาวไอริชที่ชื่อ เวโรนิก้า กูริน ซึ่งโดยพวกเจ้าพ่อมาเฟียในดับลินยิงเสียชีวิต โดยได้เคต แบล็ตเชตต์มารับบทนำ และโจเอล ชูมาเกอร์เป็นผู้กำกับ

นอกเหนือไปจากโปรเจกต์ต่างๆ ที่กำลังดำเนินงานสร้างเหล่านี้แล้ว ยังมีภาพยนตร์ตลกเรื่อง Affirmative Action ที่นำแสดงโดยวิลล์ สมิธ และเบน อัฟเฟล็ค (จากไอเดียของอัฟเฟล็ค) ซึ่งพูดถึงเอฟบีไอผิวขาวและตำรวจหลุยเซียน่าผิวดำที่ต้องจับมือกันตามล่าเงินของกลางของตำรวจที่สูญหายไป, The Veronica Guerin Story ชีวประวัติของนักข่าวสาวชาวไอริชที่โดนเจ้าพ่อมาเฟียลอบยิง, Rogue Warrior เรื่องราวของหน่วยเนวี่ซิล, Witness to the Truth ที่สร้างมาจากเหตุการณ์จริงของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ พอล ลินด์เซย์, The Tiger Project ที่สร้างมาจากผลงานของนักอนุรักษ์นิยมเบลินดา ไรต์ และเรื่อง Operation Moses เรื่องจริงของนายหน้าค้าหุ้นในนิวยอร์กที่ยอมเสี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือชาวยิวในเอธิโอเปีย

สิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์แทบทุกเรื่องในประวัติผลงานของเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์มีเหมือนๆ กัน ก็คือ คอนเซปต์ที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ ตัวละครที่ดีที่อยู่ในเรื่องที่น่าสนใจ เมื่อภาพยนตร์เหล่านี้ก้าวสู่การฉายในโรงภาพยนตร์ มันจะผสมผสานด้วยสิ่งที่ภาพยนตร์ของบรัคไฮเมอร์มักจะมอบให้กับคนดู นั่นก็คือ เรื่องราวที่ถูกเล่าด้วยสไตล์ภาพอันโดดเด่นและให้อารมณ์ การผจญภัยบนจอผ้าใบที่จะตรึงเราไว้กับที่จนกว่าเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์จะบอกกับคนดูว่า เรื่องจบแล้ว

เคน นอแลน (Ken Nolan) - มือเขียนบท

เคน นอแลนเกิดในพอร์ตแลนด์, โอเรกอน และได้รับปริญญาทางด้านภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน เขาย้ายมาอยู่ลอส แอนเจลิส ในปี 1990 โดยทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับผู้บริหารและผู้อำนวยการสร้างหลายคนขณะที่ศึกษางานเขียนบทไปด้วย เขาขายบทภาพยนตร์ได้ในปี 1994 และ 1996 ซึ่งทั้งสองเรื่องยังไม่ได้ถูกนำมาสร้าง ดังนั้น Black Hawk Down จึงเป็นผลงานการเขียนบทชิ้นแรกของนอแลนที่ได้ขึ้นสู่จอ

มาร์ก โบว์เด้น (Mark Bowden) - เจ้าของบทประพันธ์

มาร์ก โบว์เด้นคือผู้แต่งหนังสือเรื่อง Black Hawk Down: A Story of Modern War ซึ่งตีพิมพ์โดย แอตแลนติก มันธ์ลี่ เพรส ในปี 1999 และได้รับคำชมไปอย่างท่วมท้น เขายังเป็นผู้แต่งหนังสือเรื่อง Bringing the Heat และ Doctor Dealer โดยโบว์เด้นทำงานเป็นผู้สื่อข่าวอยู่ที่ The Philadelphia Inquirer นานกว่า 19 ปี และเคยคว้ารางวัลจากการงานเขียนมาแล้วนับไม่ถ้วน อาทิเช่น รางวัล Overseas Press Club's Hal Boyle Award ในสาขาข่าวต่างประเทศยอดเยี่ยม จากการรายงานข่าวการต่อสู้ที่โมกาดีชู ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กว่า 10 ฉบับทั่วอเมริกา โบว์เด้นยังเขียนเรื่องให้กับหนังสือ Men's Journal, Sports Illustrated, Playboy, Rolling Stone, Parade และหนังสือแม็กกาซีนอีกหลายฉบับ

หนังสือเล่มล่าสุดของโบว์เด้นคือเรื่อง Killing Pablo: The Hunt for the World's Greatest Outlaw ซึ่งเป็นเรื่องราวของการตามล่าเจ้าพ่อวงการค้ายาชื่อกระฉ่อนที่สุดคนหนึ่งของโลก ปาโบล เอสโคบาร์ จากโคลัมเบีย หนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ออกมาในเดือนมิถุนายน ปี 2001 โดยสำนักพิมพ์แอตแลนติก มันธ์ลี่ เพรส ซึ่งได้รับคำชมทันทีที่หนังสือออกวางแผง

ไซม่อน เวสต์ (Simon West) - ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

เมื่อไม่นานมานี้ ไซม่อน เวสต์ก็คือผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Tomb Raider ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอ็กชั่นที่สร้างมาจากการผจญภัยของตัวละครดิจิตอล ลาร่า ครอฟต์ ซึ่งในตัวภาพยนตร์รับบทแสดงโดยแองเจลิน่า โจลี่ ก่อนหน้านี้ เขายังได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The General's Daughter ที่นำแสดงโดยจอห์น ทราโวลต้า, เมเดลีน สโตว์ และเจมส์ วู้ดส์ เขาเริ่มประเดิมกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกกับภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Con Air ที่นำแสดงโดยนิโคลาส เคจ, จอห์น คูแซ็ค และจอห์น มัลโกวิช

เวสต์เกิดในเลตช์เวิร์ธ, เฮอร์ฟอร์ดไชร์, ในอังกฤษ เขาเริ่มต้นทำงานในปี 1981 เมื่อเข้าทำงานที่บีบีซี ในลอนดอน ในตำแหน่งพนักงานตัดต่อฝึกหัด ในช่วงเวลาสี่ปีที่ทำงานที่นั่น เวสต์ได้ทำงานในผลงานที่คว้ารางวัลมาแล้วหลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Strangeways Prison และซีรีส์แนวดราม่าเรื่อง Bleak House (ผลงานทั้งสองเรื่องได้รับรางวัลออสการ์ของอังกฤษ)

ในปี 1985 เวสต์เริ่มต้นทำงานเป็นผู้กำกับอิสระ เขาเคยได้รับรางวัลจากบริติส อาร์ตส์ เคาน์ซิล จากผลงานการเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ความยาว 30 นาทีเรื่อง Dolly Mixtures ต่อมา เขาได้เซ็นสัญญากับไลม์ไลต์ ลอนดอนเพื่อทำหน้าที่กำกับมิวสิค วิดีโอ และภาพยนตร์โฆษณา ในปี 1987 เวสต์คว้ารางวัลวิดีโอยอดเยี่ยมที่งานเทศกาลดนตรีมอนโทรกซ์ จากผลงานเพลงของเมลและคิมชื่อเพลง Respectable

ด้วยความสำเร็จทางด้านงานโฆษณา เวสต์ได้ย้ายมาอยู่อเมริกา ที่ซึ่งเขาเริ่มต้นทำงานให้กับสาขาของไลม์ไลต์ในลอส แอนเจลิส หนึ่งปีต่อมา เขาได้ย้ายไปทำงานให้กับไพลอต พิคเจอร์ส ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลอันทรงเกียรติสองรางวัลด้วยกัน คือ รางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาลโฆษณานานาติในคานส์ จากงานโฆษณาชุด Italian Feart และรางวัลคลีโอจากผลงานชุด Airplane

เวสต์เข้าร่วมงานกับบริษัทแซตเทลไลต์ ฟิล์มส์ ในปี 1993 ที่ซึ่งเขาได้ผลิตงานโฆษณาให้กับลูกค้าอย่าง Sprite, AT&T, MCI, Ford, Miller Beer และ Budweiser ภาพยนตร์โฆษณาชุด Innertube ที่เขาทำให้กับเป๊ปซี่ ได้รับการโหวตให้เป็นโฆษณาที่ได้รับความนิยมที่สุดในศึกซูเปอร์โบวล์ปี 1995 ในโพลของยูเอสเอทูเดย์ โฆษณาชิ้นนั้นยังคว้ารางวัลสิงโตทองคำที่เมืองคานส์ และรางวัลคลีโอ โฆษณาชุด Ants ที่เวสต์ทำให้ Budweiser คว้ารางวัลบรอนซ์ในคานส์ ในปี 1995 และในปีเดียวกันนั้น เขาได้เริ่มต้นงานกำกับให้กับบริษัท Propaganda Films

เวสต์ยังคว้ารางวัลได้อีกมากมายจากผลงานโฆษณาของเขา หนึ่งในนั้น ก็คือ รางวัล TNE New York Festival's International TV Advertising Award ในปี 1993, รางวัล AICP for Direction of Humor, รางวัล ADDYS สาขา Best of Show Broadcast และรางวัล ANDYS สาขา Humor, รางวัลคลีโอสาขากำกับยอดเยี่ยม, รางวัลสิงโตทองคำจากคานส์ และรางวัลโมน่า

เมื่อเร็วๆ นี้ เวสต์ได้เซ็นสัญญาเพื่ออำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์เรื่อง Black Flag เรื่องราวคลาสสิกเกี่ยวกับโจรสลัด และการผจญภัยกลางท้องทะเล โปรเจกต์ที่ว่านี้จะถูกสร้างขึ้นภายใต้ชื่อบริษัท วิชวู้ด โปรดักชั่นส์ ของเวสต์ ที่สร้างผลงาให้กับค่ายวอร์เนอร์

(ยังมีต่อ)

-สส-

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit