เยื่อกระดาษสยามแถลงผลการดำเนินงาน ปี 2544 มุ่งเน้นกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจ

01 Apr 2002

กรุงเทพฯ--1 มี.ค.--เยื่อกระดาษสยาม

บริษัทเยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเยื่อกระดาษคุณภาพสูงเพื่อการผลิตกระดาษนานาชนิด ในธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์ เครือซิเมนต์ไทย ได้จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 9 ประจำปี 2545 ขึ้น เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2545 โดยมีนายชุมพล ณ ลำเลียง ประธานกรรมการบริษัทฯ พร้อมด้วย นายสมบูรณ์ ชัชวาลย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นผู้แถลงผลการดำเนินงาน ในปี 2544 อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษและกระดาษมีการขยายตัวในอัตราร้อยละ 5 ตามสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัว ในขณะที่ระดับราคากระดาษโลกโดยเฉลี่ยมีการปรับลงอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับราคาวัตถุดิบที่ได้มีการปรับลดก่อนหน้า

แม้ในสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัว จากความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานทุกคน บริษัท ฯ จึงมีผลการดำเนินงานโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าปี 2543

มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากปี 2543 ในขณะที่มูลค่าการขายอยู่ในระดับ 26,995 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2543 โดยบริษัทเยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย มียอดรายได้รวม 27,121 ล้านบาท และ บริษัทเยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) มียอดรายได้รวม 3,558 ล้านบาท คณะกรรมการบริษัท ฯ จึงขอเสนอให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 2544 ในอัตราหุ้นละ 12.50 บาท

การเป็นผู้ผลิตกระดาษแบบครบวงจร โดยเป็นผู้นำตลาดที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ทำให้บริษัท ฯ สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตและลดความผันผวนของกำไร ผลิตสินค้าที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า ด้วยคุณภาพและบริการที่ได้มาตรฐานโลก โดยในปีที่ผ่านมา ทุกกิจการมีการผลิตเต็มกำลังการผลิต และยังคงรักษาฐานลูกค้าหลัก ๆ ในต่างประเทศไว้ได้เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด บริษัทฯ มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนในระดับที่แข่งขันได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยใช้ระบบการจัดการอย่างมีคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management - TQM) มีการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับกระบวนการผลิตที่รักษาสภาพแวดล้อม

นอกจากนี้ได้เริ่มนำระบบ Supply Chain Management มาใช้ในการปรับปรุงงานสำหรับกิจการกระดาษอุตสาหกรรมและกิจการบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าทุกขั้นตอนของการทำงาน จากวัตถุดิบจนถึงสินค้าที่ส่งมอบให้กับลูกค้า

ในปี 2544 กิจการบรรจุภัณฑ์ได้มีการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีการพิมพ์ เพื่อให้บริการลูกค้าด้านการออกแบบรวมถึงระบบการพิมพ์ ที่ต้องการบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและทนทานต่อการใช้งาน รวมถึงการเสนอทางเลือกของบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างธุรกิจให้มีการเติบโตแบบยั่งยืนและขณะเดียวกันสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นสูงสุด โดยในช่วงหลังวิกฤตได้มุ่งเน้นการลดหนี้สินเพื่อปรับปรุงฐานะการเงินของบริษัทฯ ให้มีความมั่นคงเป็นอันดับแรก ดังจะเห็นจากการได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทจาก ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเดือนมิถุนายน 2544 สำหรับเครดิตระยะยาวในระดับ "A(tha)" และระยะสั้นในระดับ " F1(tha) " และในเดือนกันยายน 2544 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายไปใช้ชำระคืนหนี้ที่มีต้นทุนสูง และเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินสำหรับโอกาสลงทุนต่างๆ

ในด้านกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจ

บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการซื้อหรือการควบรวมกิจการ (Consolidation) มากกว่าการขยายกำลังการผลิตเองหรือการสร้างโรงงานใหม่

เนื่องจากเป็นโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า ในเดือนพฤศจิกายน 2544 บริษัทฯ

ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท ฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด (มหาชน) จำนวนร้อยละ 24.98 และได้ดำเนินการทำคำเสนอซื้อเป็นการทั่วไป (Tender Offer) สำหรับหุ้นในส่วนที่เหลือ สรุปผลในต้นปี 2545 โดยบริษัทฯ ได้ซื้อหุ้นเพิ่มอีกร้อยละ 36.28 ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 61.26 การเข้าซื้อหุ้นของบริษัทฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ นับเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการเพิ่มระดับการเป็นผู้ผลิตกระดาษพิมพ์เขียนแบบครบวงจร

ในรอบปี 2544 บริษัท ฯ ได้ให้บริการลูกค้าแบบ E-Commerce ผ่านทางระบบ Internet โดยได้ติดตั้งระบบการสั่งซื้อสินค้าผ่าน Internet ให้กับลูกค้า เพื่อให้ได้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้นเหนือคู่แข่งขัน มีการจัดทำระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ ให้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ ทันต่อเหตุการณ์ และเร็วกว่าคู่แข่งขัน ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันของโลกธุรกิจนี้

พนักงานถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญและมีค่าที่สุด ที่ร่วมแรงร่วมใจต่อสู้ฟันฝ่าวิกฤติต่าง ๆ ทำให้บริษัท ฯ ยืนหยัดอยู่ได้ในวันนี้อย่างมั่นคง บริษัทฯ จึงเล็งเห็นความสำคัญของการปรับให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) และมีการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา--จบ--

-อน-