(ต่อ1) The Animal แอนิมอล…คนพิลึก ยึดร่างเพี้ยน 7 กันยายน 2544

09 Aug 2001

กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--บัวนา วิสต้า อินเตอร์เนชั่นแนล

ของมาร์วิน ซึ่งจู่ๆ มาร์วินก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้กลายเป็นคู่หูของเขา "สองคนนี้จะเหมือนกับน้ำและน้ำมัน" แม็คกินลีย์อธิบาย "ซิสก์เป็นพวกที่มีความทะเยอทะยาน แล้วร็อบก็เป็นเหมือนกับขี้รังแคที่เกาะอยู่บนบ่าของเขา เป็นสิ่งที่เขาต้องกำจัดทิ้งซะ"

"ผมไปออดิชั่นบทให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้จนเหมือนกับบ้าไปเลย เพราะผมอยากจะร่วมงานกับร็อบมาก" แม็คกินลีย์กล่าวต่อ "เขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์อย่างเหลือล้นเลย"

"จอห์นนี่ ซี คือคนที่เหมาะกับบทนั้นมาก" ผู้กำกับลุค กรีนฟิลด์กล่าว "เขาอ่านสคริปต์อย่างใจจดใจจ่อ คุณคงไม่สามารถหาใครที่ทุ่มเทอย่างเขาได้อีกแล้ว เขาเป็นคนฉลาด และเป็นคนที่มีไอเดียเยอะแยะมากมายจนแทบไม่น่าเชื่อเลย"

"ผมต้องการให้ความแตกต่างระหว่างผมกับร็อบดูน่าตกใจ" แม็คกินลีย์บอก "ดังนั้นผมจึงก็อยากจะเพิ่มน้ำหนักสัก 25 ถึง 30 ปอนด์ พวกเขาหาเทรนเนอร์ให้ผม แล้วผมก็แค่กิน แล้วยกน้ำหนัก กินแล้วยกน้ำหนัก ผมอยากให้ตัวละครตัวนี้เหมือนกับจะปริออกมาจากเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่เลย"

"นับแต่ที่เรแกนทำการปิดพวกสถาบันโรคประสาททั้งหลาย แม็คกินลีย์ก็กลายเป็นเหมือนสิ่งคุกคามต่อสังคม" เอ็ด แอสเนอร์ ที่เคยร่วมงานกับแม็กกินลีย์นานสามเดือน ในการแสดงภาพยนตร์มินิซีรีส์เรื่อง Cruel Doubt ที่นำแสดงโดยกวินเนธ พัลโทรว์ กล่าวตลกๆ

"เอ็ดเป็นคนที่รู้จักจังหวะเป็นอย่างดี" แม็คกินลีย์โต้ตอบ "แล้วเขาก็เป็นคนที่นิสัยดีมาก"

"ดูจากระดับของความสามารถในภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ผมคงไม่มีทางโชคดีไปกว่านี้แล้วล่ะ" ผู้กำกับลุค กรีนฟิลด์กล่าว "คุณเพียงแค่จับคนพวกนี้เข้าไปยืนอยู่บนพื้นที่ว่างแล้วก็พูดว่า 'คุณมีสี่เท้าตรงนี้ กับสี่เท้าตรงนั้น แล้วก็เล่นได้เลย' แล้วพวกเขาก็จะจัดการทั้งหมดเอง"

นอกเหนือไปจากทีมงานที่เป็นมนุษย์แล้ว The Animal คงจะสำเร็จลงไม่ได้แน่ถ้าไม่มีทีมสัตว์มืออาชีพที่ทุ่มเทและเตรียมตัวมาพร้อมสำหรับการขึ้นเวทีจริงๆ

สตีฟ เบอเรนส์ คนฝึกสัตว์ ที่เมื่อไม่นานมานี้ได้ร่วมงานกับเจ้า บีฟฟี่ คู่หูสี่ขาของอดัม แซนด์เลอร์ในภาพยนตร์เรื่อง Little Nicky เป็นคนที่เข้ามารับผิดชอบการดูแลฝึกสัตว์หลากหลายชนิดในภาพยนตร์เรื่อง The Animal นี้ ซึ่งเขาต้องทำหน้าที่ดูแลและฝึกสัตว์กว่า 60 ตัว ("ซึ่งก็รวมร็อบ ชไนเดอร์ด้วย" เบอเรนส์บอกด้วยรอยยิ้ม) "เรามีนกแก้วที่ร็อบพยายามจะกิน มีสุนัขที่พยายามฉีกเขาเป็นชิ้นๆ และมีแพะที่เขาจะต้องควบคุมตัวให้ได้"

ในฉากหนึ่ง ร็อบจะต้องให้ลูกนกกินอาหารจากปากของเขา แต่ระหว่างการซ้อมบทอยู่นั้น ทุกอย่างดูไม่ค่อยเป็นไปตามแผนนัก ครูที่ดูแลฝึกนกไม่ได้ให้อาหารมันกิน มันจึงหิวมาก และใช้จะงอยปากจิกปากของร็อบ ซึ่งร็อบก็เกิดทำเมล็ดพืชหล่นเข้าไปในปาก เมื่อในที่สุดต้องถึงเวลาถ่ายทำจริง ทางทีมผู้ฝึกจึงให้อาหารนกให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเริ่มเดินกล้อง ผลก็คือนกค่อยๆ จิกอาหารจากปากของร็อบอย่างสุภาพ และดูเหมือนพวกมันจะทำไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าจะเป็นเพราะความหิว และแล้วความอ่อนโยนของเจ้านกตัวนี้ก็จะมีให้เห็นกันในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

ฉากที่มีนกร่วมแสดงอยู่ด้วยนี้ก็คือตัวอย่างของปรัชญาการทำงานของ สตีฟ เบอเรนส์ ที่ถือว่าเวลาในการฝึกซ้อมที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขากล่าวว่าเป้าหมายของเขาก็คือการทำให้สัตว์แต่ละตัวรู้สึกสบายตัวเมื่ออยู่ในกองถ่าย "มันต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานมากกว่าจะทำให้พวกมันคุ้นเคยกับทุกอย่างได้" เบอเรนส์อธิบาย "ด้วยวิธีการอย่างนี้ มันถึงจะเป็นธรรมต่อพวกสัตว์ มีอยู่หลายครั้งที่เรามีฉากที่สัตว์ต้องแสดงความกลัวออกมา เราไม่อยากจะทำให้พวกมันกลัวจริงๆ พวกมันได้รับการฝึกฝนให้แสดงความกลัวออกมา ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะทำแบบนั้นได้"

โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ อลัน อู บอกว่าเขาต้องพิจารณาถึงสภาพความเป็นอยู่ของสัตว์แต่ละตัวด้วย เมื่อเขาสร้างฉากห้องทดลองที่แสนประหลาดของดร. ไวลเดอร์สติเฟื่องขึ้นมา "มันจะต้องมีลักษณะที่เหมือนกับว่าพวกสัตว์เหล่านั้นใช้ชีวิตอยู่กับดร.ไวลเดอร์" อู ซึ่งต้องแน่ใจว่าสัตว์แต่ละตัวจะมีพื้นที่อาศัยของมันโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งกรงหรือคอกสัตว์ บอก อูยังกล่าวต่ออีกว่าเขาต้องทำงานร่วมกับครูฝึกสัตว์เพื่อให้แน่ใจว่าลิงชิมแปนซีจะรู้สึกสบายใจอยู่ภายในบ้านชั่วคราวของมัน ซึ่งตั้งอยู่บนชั้นบนสุดของชั้นภายในพื้นที่กรีนเฮ้าส์ นอกจากนี้ทีมงานยังตัดสินใจที่จะเพิ่มชิงช้าเข้าไปในพื้นที่เพื่อให้ลิงชิมแปนซีได้ระบายความเครียดจากการทำงานระหว่างการถ่ายทำที่แสนยาวนาน อูบอกว่าเขาประหลาดใจมากที่ร็อบ ชไนเดอร์ที่ออกจะเป็นหนุ่มไฮเปอร์ไม่ทะเลาะกับลิงชิมแปนซีเพื่อแย่งชิงช้ากัน

สตีฟ เบอเรนส์คนฝึกสัตว์เล่าว่า ในขณะที่เขาต้องสอนชไนเดอร์ในการแสดงอยู่หลายฉาก นักแสดงและดาราตลกผู้นี้มีความเป็นสัตว์ที่เป็นธรรมชาติมาก และเขาก็ดูมีความสุขกับการทุ่มเทเพื่อแสดงบทนี้ เขาต้องเอาหน้าจุ่มลงไปในตู้ปลา เมื่อตัวละครของเขาพยายามจับปลากิน และต้องกระโดดโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำราวกับปลาโลมา พร้อมกับพ่นน้ำออกมาจากปาก

สำหรับฉากโลมานี้ ชไนเดอร์จะถูกจับมัดไว้กับเครื่องควบคุมที่อยู่เหนือรางที่สร้างเอาไว้ใต้ผิวน้ำ การเคลื่อนไหวให้เหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ว่ายน้ำได้ตัวนี้ ชไนเดอร์ต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อเขาโดนลากตัวลงไปในน้ำ และโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำตามบท

"ผมอยากให้คนดูรู้ว่าผมเป็นคนแสดงฉากนี้เองจริงๆ มันน่าตื่นเต้นมากทีเดียว" ชไนเดอร์บอก "คุณต้องตื่นเต้นไปกับภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณถึงจะผ่านพ้นมันไปได้ คุณกำลังคิดว่า 'มันเป็นเวลาตีสองแล้ว และเรายังถ่ายทำกันอยู่เลย มันหนาวมาก และผมก็ต้องลงไปอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิ 50 องศา และต้องดำลงไปในน้ำ ผมปวดหัวมากกับน้ำที่เย็นขนาดนั้น"

ชไนเดอร์แสดงฉากสตั๊นต์ด้วยตัวเองเยอะมากทีเดียว เช่นเดียวกับจอห์น ซี แม็คกินลีย์ ที่เล่นเป็นจ่าดั๊ก ซิสก์ สำหรับฉากกระโดดจากหน้าผา ซึ่งเป็นฉากที่ซิสก์รู้ความจริงแล้วว่ามาร์ตินคือตัวอะไรกันแน่ ทีมงานได้สร้างหลุมขนาด 25 ฟุตขึ้นที่โลเกชั่นนอกลอส แอนเจลิส เมื่อมาร์วินถูกซิสก์ตามล่า เขากระโดดจากหน้าผาเพื่อหนี ซิสก์เห็นเขากระโดด และรู้ว่าถ้ามาร์วินสามารถทำได้ เขาเองก็ต้องทำได้ ร็อบ ชไนเดอร์กระโดดข้ามไปด้วยความช่วยเหลือจากเครนและเครื่องดึงระบบไฮโดรลิก แต่เมื่อจอห์น ซี ถ่ายทำในส่วนของเขาบ้าง เท้าของเขาเกิดไปติดอยู่ตรงด้านข้างของหน้าผา และทำให้กล้ามเนื้อน่องของเขาฉีก โชคยังดีที่จอห์น ซีเป็นคนแข็งแรง หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาก็สามารถกลับมาทำงานได้ สำหรับฉากดังกล่าวนี้ ร็อบกับจอห์น ซีต้องห้อยโหนตัวอยู่ที่บริเวณหน้าผา ซึ่งนับว่าเป็นงานที่ค่อนข้างหินทีเดียว แต่นักแสดงทั้งคู่ก็ยังคงหัวเราะคิกคักกันอยู่ได้

ชไนเดอร์ยังต้องเสี่ยงชีวิตและร่างกายอีกครั้งในฉากที่จ่าซิสก์ขับรถบรรทุกตามล่าตัวละครของเขา สำหรับช็อตดังกล่าว กล้องได้รับการติดตั้ง และต้องเคลียร์ทีมงานออกจากพื้นที่จนหมด รถบรรทุกขับตรงเข้าหากล้อง ในขณะที่ร็อบที่วิ่งตรงเข้าหากล้องจะวิ่งเฉียงไปทางขวา ในขณะที่รถบรรทุกจะวิ่งเฉียงออกไปทางซ้าย หลังจากถ่ายเพียงแค่เทกเดียว ร็อบพอใจมากที่รถบรรทุกสามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้มากพอในช็อตดังกล่าวนั้น ซึ่งร็อบไม่รู้เลยว่ารถบรรทุกไล่เข้ามาใกล้เขาขนาดไหนจนกระทั่งเขาได้เห็นตัวเองในภาพที่ทีมงานถ่ายเอาไว้

"ทุกคนต่างกลายเป็นสัตว์น้อยๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้" ชไนเดอร์กล่าว "ซึ่งก็รวมถึงผมด้วย มันบ้ามาก แต่ผมคิดว่าไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะมีความเป็นสัตว์มากขนาดไหน หรือจะเป็นสัตว์ตัวน้อยขนาดไหน คุณก็ต้องยอมรับกันและกัน มีความรักอยู่มากมายในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมต้องการให้ผู้คนรู้สึกดีที่ได้ดู และสนุกไปกับมันด้วย"

"ในออสเตรเลีย เราพูดกันว่าชีวิตน่าจะเป็นเรื่องขำขัน" ไมเคิล เคตั้นบอก "และถ้าคุณต้องการจะหัวเราะ ก็จงออกไปดูภาพยนตร์เรื่อง The Animal ซะ"

เกี่ยวกับนักแสดง

ร็อบ ชไนเดอร์ (Rob Schneider) ในบทมาร์วิน แมนจ์ และตำแหน่งผู้ร่วมเขียนบท

ชไนเดอร์เป็นที่รู้จักดีในเรื่องของลักษณะที่แสนสนุกสนานของเขาในบทริชาร์ด (The Richmeister) และบท The Sensitive Naked Man และ The Weed Guy ในรายการทีวียอดฮิต Saturday Night Live ที่เคยคว้ารางวัลเอมมี่มาแล้ว ชไนเดอร์ซึ่งเป็นสุดยอดในเรื่องของการล้อเลียนแยกตัวออกมาจากรายการ SNL ในปี 1994 และนำตัวเองไปสู่ความสำเร็จทางด้านภาพยนตร์และทางด้านทีวี เขาได้ร่วมเขียนบทและแสดงนำในภาพยนตร์ตลกเรื่อง Deuce Bigalow: Male Gigolo ซึ่งอำนวยการสร้างบริหารโดยอดัม แซนด์เลอร์ และยังเคยร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ของแซนด์เลอร์เรื่อง The Waterboy และ Big Daddy

ชไนเดอร์ ซึ่งเกิดในซานฟรานซิสโก เริ่มเขียนมุขตลกตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น โดยขึ้นแสดงตลกอยู่ตามสถานที่ต่างๆ แถวบ้าน ซึ่งก็รวมทั้งที่สวนสัตว์โฮลี่ซิตี้ด้วย เขาเริ่มมีผลงานทางด้านทีวีกับรายการ The David Letterman Show ในปี 1987 หลังจากที่เริ่มขึ้นแสดงตลกบนเวที โดยเป็นการแสดงเปิดรายการให้กับดาราตลกอย่าง เจย์ เลโน, เจอร์รี่ ซอนเฟลด์ และดาน่า คาร์วี่ย์ ในปี 1990 การแสดงของชไนเดอร์เกิดไปสะดุดตาผู้อำนวยการสร้างรายการ SNL ลอร์น ไมเคิลส์ หลังจากที่เขาไปแสดงในภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง 13th Annual Young Comedians Special

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของชไนเดอร์ได้แก่ Demolition Man, Judge Dredd, Down Periscope, Knock-Off และ Home Alone II สำหรับผลงานทางด้านทีวี เขาแสดงนำในซิทคอมเรื่อง Men Behaving Badly ซึ่งออกอากาศทางช่อง NBC มาสองปีแล้วคอลลีน แฮสเกลล์ (Colleen Haskell) ในบทไรแอนนา

คอลลีน แฮสเกลล์สามารถเข้าถึงหัวใจของคนอเมริกันเป็นล้านๆ คนหลังจากที่ต้องใช้ชีวิตอย่างดิ้นรนอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในมาเลเซียเป็นเวลา 30 วัน พร้อมกับทีมงานจากรายการ Survivor

แฮสเกลล์ที่เกิดและเติบโตในเบเธสด้า รัฐแมรี่แลนด์ จบการศึกษาจากวอลเตอร์ จอห์นสัน ไฮห์ ในปี 1994 ที่ซึ่งเธอสนุกสนานกับการแสดงละคร และการทำงานเบื้องหลังในการออกแบบแสง เสียง และฉาก จากนั้น แฮสเกลล์ได้รับปริญญาทางด้านการละครจากมหาวิทยาลัยจอร์เจีย หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว แฮสเกลล์ใช้เวลาสองเดือนในกาน่า, อัฟริกาตะวันตก ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังไมอามี่ รัฐฟลอริด้า เพื่อเข้าเรียนในโปรแกรมสองปีที่ไมอามี่แอ็ด สกูล และในช่วงที่อยู่ในไมอามี่นี่เอง ที่แฮสเกลล์ได้เห็นใบประกาศรับสมัครเข้าร่วมรายการ Survivor

หลังจากที่เป็นผู้รอดจากเกาะในรายการดังกล่าว แฮสเกลล์วางแผนไว้ว่าจะย้ายไปอยู่ฝั่งตะวันตกของอเมริกา ซึ่งอาจจะเป็นซานฟรานซิสโก เธอยังคงได้รับข้อเสนอต่างๆ มากมายจากคนในวงการบันเทิง The Animal คือภาพยนตร์เรื่องแรกของแฮสเกลล์จอห์น ซี แม็คกินลีย์ (John C. McGinley) ในบทดั๊ก ซิสก์

จอห์น ซี แม็คกินลีย์ได้โอกาสทางการแสดงครั้งแรกจากผู้กำกับโอลิเวอร์ สโตน ขณะที่เขาเป็นนักแสดงสำรองอยู่ในคณะละคร New York Circle ซึ่งทำละครเรื่อง Danny and the Deep Blue Sea สโตนได้เลือกแม็คกินลีย์ให้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Platoon, Wall Street, Talk Radio, Born on the Fourth of July และ Nixon ภาพยนตร์เรื่องหลังสุดของสโตนที่แม็คกินลีย์แสพงเอาไว้ ก็คือ การรับบทเป็นผู้พากย์กีฬา แจ็ค "เดอะ ริปเปอร์" โรส ในภาพยนตร์เรื่อง Any Given Sunday

แม็คกินลีย์มีผลงานการแสดงภาพยนตร์มาแล้วกว่า 50 เรื่อง ซึ่งก็รวมทั้งเรื่อง Get Carter, Three to Tango, Nothing to Lose, The Rock, Seven, set It Off, Wagons East, Point Break และ Fat Man and Little Boy

ผลงานด้านทีวีของเขาก็รวมถึงหนังมินิซีรีย์ความยาวสี่ชั่วโมงเรื่อง Sole Survivor ที่สร้างมาจากผลงานของนักเขียนนิยายแนวตื่นเต้น ดีน คูนต์ซ ก่อนหน้านี้ เขาเคยร่วมงานกับคูนต์ซในภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่อง Intensity ซึ่งเป็นภาพยนตร์มินิซีรีส์เรตติ้งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ทีวีของฟ็อกซ์

เมื่อเร็วๆ นี้ แม็คกินลีย์เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากงานแสดงภาพยนตร์เรื่อง Highway ของค่ายนิวไลน์ซีนีม่า ซึ่งเขารับบทเป็นเจ้าพ่อค้ายาที่เดินทางไปยังซีแอตเติล ในอาทิตย์ที่เคิร์ต โคเบนเสียชีวิตไปเอ็ดเวิร์ด แอสเนอร์ (Edward Asner) ในบทหัวหน้ากองวิลสัน

เอ็ดเวิร์ด แอสเนอร์อาจจะเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการไปรับบทเป็นนักข่าวที่ชื่อ ลู แกรนต์ ทั้งในรายการ Mary Tyler Moore Show และเป็นดารานำของภาพยนตร์ซีรีส์ที่ได้รับคำชมเรื่อง Lou Grant ที่คว้ารางวัลเอมมี่ไปถึงห้ารางวัล เขายังได้รับรางวัลเอมมี่เพิ่มอีกสองรางวัลจากเรื่อง Rich Man Poor Man และ Roots แอสเนอร์เคยร่วมแสดงกับฮอล ฮอลบรู๊ก, คริส โอดอนเนลล์ และเรอเน่ เซลล์วีเกอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง The Bachelor และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้ร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Above Suspicion แอสเนอร์ยังร่วมแสดงอยู่ในรายการยอดฮิตของ HBO เรื่อง Arli$$, Hollywood D.C. และภาพยนตร์เรื่องยาวของโชว์ไทม์เรื่อง Common Ground นอกเหนือจากจะให้เสียงกับภาพยนตร์โฆษณา และเทปนิทานต่างๆ แล้ว แอสเนอร์ยังให้เสียงพากย์กับภาพยนตร์การ์ตูนหลายเรื่อง อาทิเช่น The Simpsons, Maxx Steel และการ์ตูนของดิสนีย์เรื่อง Recess

แอสเนอร์ในฐานะนักแสดงที่มีความสามารถรอบตัว นอกเหนือจากจะเคยได้รับรางวัลเอมมี่มาถึงเจ็ดรางวัลแล้ว เขายังเคยได้รับรางวัลลูกโลกทองคำถึงห้ารางวัลด้วยกัน เขายังทำหน้าที่เป็นประธานของสมาคมนักแสดงสองสมัย และยังได้รับการบันทึกชื่อเอาไว้ในหอเกียรติยศของทีวีอคาเดมี่ ในปี1996 ในปี 2000 แอสเนอร์ยังได้รับเกียรติจากสมาคมนักแสดงที่มอบรางวัลราล์ฟ มอร์แกนอันทรงเกียรติให้กับเขาด้วยกาย ทอร์รี่ (Guy Torry) ในบทไมลส์

กาย ทอร์รี่ร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่เรื่อง Pearl Harbor โดยประกบบทกับเบน อัฟเฟล็ค และคิวบา กู๊ดดิ้ง จูเนียร์ ในปีนี้ เขายังแสดงนำในภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง Don't Say a Word ประกบบทกับไมเคิล ดักลาส ทอร์รี่เป็นนักแสดงที่คร่ำหวอดมานานทั้งในวงการภาพยนตร์จอแก้วและจอเงิน เขาแสดงเป็น เด็กซ์เตอร์ จอห์นสัน ในภาพยนตร์มินิซีรีส์ของ NBC เรื่อง The 70' และยังแสดงนำในภาพยนตร์ซีรีส์ของ UPN เรื่อง The Strip และยังเป็นแขกรับเชิญให้กับซีรีส์เรื่องดังอย่าง The X-Files และ NYPD Blue ผลงานเรื่องอื่นๆ ของทอร์รี่ ก็รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Trippin', Life, American History X และ Ride และภาพยนตร์ซีรีส์ของ UPN เรื่อง The Good News

ทอร์รี่ยังมีส่วนอยู่ในการออกตระเวณทัวร์แสดงตลกของ Kings of Comedy ด้วยหลุยส์ ลอมบาร์ดี้ (Louis Lombardi) ในบทแฟ็ตตี้

หลุยส์ ลอมบาร์ดี้เป็นนักแสดงมีฝีมือที่ไหวพริบทางด้านการแสดงภาพยนตร์ตลก ลอมบาร์ดี้เป็นที่รู้จักดีจากบทบาทที่เขาไปแสดงเป็นประจำในภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องฮิตของ HBO เรื่อง The Sopranos เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้ร่วมแสดงกับเควิน คอสต์เนอร์, เคิร์ต รัสเซลล์ และคริสเตียน สเลเตอร์ในผลงานของเดเมียน ลิชเทนสตีน เรื่อง 3,000 Miles to Graceland ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง Deuce Wild ที่เขาประกบบทสตีเฟ่น ดอร์ฟฟ์ และแบร็ด เรนโฟร์, The Crew ที่นำแสดงโดยริชาร์ด ไดรย์ฟัสส์ และเบิร์ต เรย์โนลด์ส และ The Boss ที่ลอมบาร์ดี้กำกับเอง ผลงานเรื่องอื่นๆ ของลอมบาร์ดี้ก็คือ Suicide Kings, Father's Day, The Immortals, The Usual Suspects, Ed Wood, Natural Born Killers, Mojave Moon และ Beverly Hills Cop III ผลงานทางด้านทีวี ลอมบาร์ดี้เป็นนักแสดงประจำของซีรีส์เรื่อง Fantasy Island และยังมีบทเป็นประจำในภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง NYPD Blue และ EZ Streets เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ทีวีเรื่อง Hope & Gloria และภาพยนตร์ของฟ็อกซ์เรื่อง Hard Ball ไมเคิล เคตั้น (Michael Caton) ในบทดร.ไวลเดอร์

ไมเคิล เคตั้นเป็นชาวออสเตรเลียโดยกำเนิด ในช่วงต้นยุค 70 เขาได้สร้างตัวละครสุดฮิต ซึ่งก็คือ แฮร์รี่ ซัลลิแวน ในภาพยนตร์ซีรีส์ของออสเตรเลียเรื่อง The Sullivans ซึ่งเป็นบทที่ทำให้ยังมีคนจดจำเขาได้มาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อไม่นานมานี้ เขายังแสดงนำในภาพยนตร์ซีรีส์สองเรื่อง คือ Hot Auctions และ Hot Property และยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ทีวีเรื่อง All Star Squares ผลงานทางด้านภาพยนตร์จอเงินของเคตั้นได้แก่ The Interview, The Castle, The 13th Floor, Fluteman, Monkey Grip, The Last of the Knucklemen และ Hoodwink เขายังร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์เรื่องยาวสำหรับฉายทางทีวีอีกหลายเรื่อง เช่น Never Tell Me Never, The Echo of Thunder, Thorn Birds: The Missing Years และภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง Paradise Beach และ Chances

เกี่ยวกับผู้สร้างลุค กรีนฟิลด์ (Luke Greenfield- ผู้กำกับ)

ลุค กรีนฟิลด์เริ่มต้นสร้างภาพยนตร์ตอนอายุ 10 ขวบ พออายุได้ 16 ปี สตีเว่น สปีลเบิร์กได้ไปเห็นภาพยนตร์ที่เขาสร้างเอาไว้สมัยเรียนไฮสกูล และประทับใจจนต้องเขียนจดหมายถึงกรีนฟิลด์ความยาวสองหน้า เพื่อกระตุ้นและให้กำลังใจกรีนฟิลด์ในการสร้างภาพยนตร์ต่อไปกรีนฟิลด์เข้าเรียนที่ The USC School of Cinema-Television ด้วยความที่มีประสบการณ์ในการสร้างภาพยนตร์มาก่อนแล้ว ทำให้กรีนฟิลด์ได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนดีเด่น และได้รับเลือกให้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่โด่งดังของ USC เรื่อง 480ผลงานสมัยเป็นนักศึกษาของกรีนฟิลด์เรื่อง Alive & Kicking ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นมาก และยังคว้ารางวัลตามเทศกาลภาพยนตร์หลายแห่งทั่วประเทศ ในปี 1999 ผู้กำกับหนุ่มผู้นี้ได้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์ตลกเรื่อง The Right Hook ภาพยนตร์สั้นความยาวเพียงสิบนาทีเรื่องนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก และกลายเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในการเขียนบทและกำกับของกรีนฟิลด์ในขณะที่ตัดต่อภาพยนตร์เรื่อง The Right Hook อยู่ กรีนฟิลด์ได้สร้างภาพยนตร์ซีรีส์ที่ชวนช็อคเรื่อง Go Sick! ภาพยนตร์ตลกซีรีส์เรื่องนี้เป็นรายการซ่อนกล้องที่กรีนฟิลด์กับทีมนักแสดงกลุ่มหนึ่งจะแสดงท่าทางแปลกประหลาดออกมาใส่เหยื่อที่ไม่รู้ตัวทั่วลอสแอนเจลิสThe Animal ถือเป็นโปรเจ็กต์แรกที่ลุค กรีนฟิลด์กำกับโดยไม่ได้เขียนบท และเป็นภาพยนตร์จอเงินเรื่องแรกที่เขากำกับด้วยแบร์รี่ เบอร์นาร์ดี้ (Barry Bernardi - ผู้อำนวยการสร้าง)

แบร์รี่ เบอร์นาร์ดี้เคยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ตลกของทัชสโตนพิคเจอร์ส เรื่อง Double Take ก่อนหน้านั้น เขาทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่องฮิตเรื่อง Deuce Bigalow: Male Gigolo และทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง Inspector Gadget ที่นำแสดงโดยแมทธิว บรอเดอริก ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ My Favorite Martian, Deep Rising, Tom and Huck, Cabin Boy, The Adventures of Huck Finn และ Devil's Advocate ส่วนผลงานในฐานะผู้อำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆ ของเบอร์นาร์ดี้คือ Poltergeist III, Honey, We Shrunk Ourselves, Wanted: Dead or Alive และ Starman

หลังจากเข้าเรียนที่ The California Institute of the Arts เบอร์นาร์ดี้ได้ร่วมทีมกับผู้กำกับจอห์น คาร์เพนเตอร์ เพื่ออำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Fog, Escape from New York และ Christine และต่อมา ก็คือ Halloween II และ Halloween III เบอร์นาดี้ยังเป็นรองประธานอาวุโสฝ่ายโปรดักชั่นที่นิวเวิร์ลพิคเจอร์ ตั้งแต่ปี1987-1989 ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่ดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Heather, Meet the Applegates และ Warlock

เขายังร่วมก่อตั้งบริษัทสตีฟ ไวต์ โปรดักชั่นส์ จากการร่วมงานกับไวต์ เบอร์นาร์ดี้ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องยาวที่ฉายทางทีวีออกมากกว่า 25 เรื่อง อาทิเช่น Whatever to Baby Jane? และ Murderous Affair: The Carolyn Warmus Story

คาร์ร ดีแอนเจโล (Carr D'Angelo - ผู้อำนวยการสร้าง)

คาร์ร ดีแอนเจโลเริ่มอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกก็กับเรื่อง The Animal นี่เอง ก่อนหน้านี้ เขาเป็นผู้คิดริเริ่มโปรเจ็กตภาพยนตร์ให้กับสปายกลาสส์ เอนเตอร์เทนเม้นต์ และเดอะดิสนีย์ แชนนอล ก่อนจะย้ายไปทำหน้าที่อำนวยการสร้าง เขาเป็นรองประธานฝ่ายโปรดักชั่นของยูนิเวอร์แซล และยังทำหน้าที่ผู้บริหารอยู่ที่บรอดเวย์ วิดีโอ และแฮนด์พรินต์ เอนเตอร์เทนเม้นต์ ที่ยูนิเวอร์แซล ดีแอนเจโลทำหน้าที่ดูแลงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Happy Gilmore, Billy Madison, Reality Bites และ The Little Rascals

ก่อนหน้าที่จะย้ายไปอยู่ลอสแอนเจลิส ดีแอนเจโลเคยทำหน้าที่บรรณาธิการจัดการให้กับนิตยสาร Starlog และเป็นคอลัมนิสต์ให้กับ Starlog, Fangoria และหนังสือเกี่ยวกับแวดวงบันเทิงอีกหลายเล่มท็อดด์ การ์เนอร์ (Todd Garner - ผู้อำนวยการสร้าง)

ท็อดด์ การ์เนอร์เข้ามาร่วมงานกับรีโวลูชั่น สตูดิโอในฐานะหุ้นส่วนในเดือนพฤษภาคม ปี 2000 ที่นี่ เขาทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานสร้างภาพยนตร์ทุกเรื่องของสตูดิโอแห่งนี้

ก่อนหน้าที่จะมาเข้าร่วมงานกับรีโวลูชั่นสตูดิโอ การ์เนอร์เคยทำงานให้กับบริษัทวอลท์ ดิสนีย์มานานกว่าสิบปี โดยตำแหน่งล่าสุดก็คือประธานร่วมของบัวนาวิสต้า โมชั่นพิคเจอร์กรุ๊ป จนลาออกมาในเดือนเมษายน ปี 2000 ในบรรดาภาพยนตร์ที่เขาทำหน้าที่ดูแลเอาไว้ ก็คือ Pearl Harbor, Gone in 60 Seconds, Remember the Titans, Deuce Bigalow: Male Gigolo และ The Waterboy

ระหว่างที่ทำงานอยู่ที่ดิสนีย์ การ์เนอร์นั่งตำแหน่งหลายตำแหน่งด้วยกัน เขาเป็นรองประธานบริหารของบัวนาวิสต้า โมชั่นพิคเจอร์ กรุ๊ป ก่อนที่จะรับตำแหน่งเป็นประธานร่วมของบริษัท เขาเริ่มทำงานกับทัชสโตน พิคเจอร์สในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ในปี 1990 และได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้กำกับโปรดักชั่น, รองประธานฝ่ายโปรดักชั่น และรองประธานอาวุโสฝ่ายโปรดักชั่น

ก่อนหน้าที่จะเข้าไปทำงานกับดิสนีย์ การ์เนอร์เคยทำงานอยู่ที่แผนการเงินของพาราเม้าต์พิคเจอร์สนานหนึ่งปี เขาเริ่มทำงานในฐานะมือตัดต่อวิดีโออิสระ โดยมีเครดิตเป็นภาพยนตร์โฆษณาและมิวสิควิดีโอมากมายอดัม แซนด์เลอร์ (Adam Sandler - ผู้อำนวยการสร้างบริหาร)

อดัม แซนด์เลอร์ร่วมมือกับร็อบ ชไนเดอร์เป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยก่อนหน้านี้เขาเคยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ทำเงินเรื่อง Deuce Bigalow: Male Gigolo ส่วนผลงานล่าสุดอีกเรื่องหนึ่งของแซนด์เลอร์ก็คือการทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ของโซนี่ พิคเจอร์สเรื่อง Joe Dirt ที่นำแสดงโดยเดวิด สเปด ปัจจุบันเขาอยู่ระหว่างการทำงานให้กับภาพยนตร์การ์ตูนเพลงเรื่อง Adam Sandler's Eight Crazy Nights ของโซนี่ พิคเจอร์ส

แซนด์เลอร์มีแฟนๆ ติดตามผลงานอยู่ทั่วโลกในฐานะนักแสดง ดาราตลก และนักร้อง/นักแต่งเพลง ที่มีผลงานสุดฮิตอยู่มากมาย ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง Big Daddy ถือเป็นการติดตามความสำเร็จของภาพยนตร์ทำรายได้อย่างเรื่อง The Waterboy, The Wedding Singer, Happy Gilmore, Billy Madison และ Little Nicky

ระหว่างพักจากตารางการถ่ายทำภาพยนตร์ที่แสนวุ่นวาย แซนด์เลอร์ยังไปเปิดการแสดงตามมหาวิทยาลัยทั่วอเมริกา และได้บันทึกเทปอัลบัมตลกให้กับวอร์เนอร์ ซึ่งขายไปได้แล้วกว่า 5 ล้านก๊อปปี้แจ็ค เกียร์ราปูโต้ (Jack Giarraputo - ผู้อำนวยการสร้างบริหาร)

แจ็ค เกียร์ราปูโต้เริ่มต้นงานในแวดวงภาพยนตร์ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างฝ่ายประสานงานให้กับภาพยนตร์ของดิสนีย์เรื่อง Heavyweights ที่กำกับโดยสตีเว่น บริลล์ จากนั้นเขาได้ไปร่วมทีมกับเพื่อนสมัยเรียน ซึ่งก็คืออดัม แซนด์เลอร์ เพื่อร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Bulletproof และภาพยนตร์ตลกเกี่ยวกับกีฬาตีกอล์ฟเรื่อง Happy Gilmore(ยังมีต่อ)

-อน-