กรุงเทพฯ--4 เม.ย.--เอ็มดีเค คอนซัลแทนส์ (ประเทศไทย)
ดิ แอสคอทท์ กรุ๊ป บริษัทบริหารโครงการที่พักอาศัยพร้อมบริการเบ็ดเสร็จหรือเซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์รายใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก เปิดตัวโครงการซัมเมอร์เซ็ท เลค พอยท์ (Somerset Lake Point) บนทำเลทองใจกลางย่านธุรกิจบนถนนสุขุมวิท เจาะกลุ่มนักธุรกิจและผู้บริหารระดับบน
โครงการซัมเมอร์เซ็ท เลค พอยท์ เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบที่พักพร้อมบริการ มูลค่ากว่าหนึ่งพันล้านบาท (30 ล้านดอลล่าร์) ที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน 2543 เมื่อบริษัท ไอพี ไทย พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ (ไอพีทีพีเอฟ) เข้ามาซื้อกิจการไป ซึ่งถือเป็นการซื้อขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพร่วมกับนักลงทุนต่างชาติที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสองในปีนั้น และมีการทำสัญญาแต่งตั้งให้ดิ แอสคอทท์ กรุ๊ปเป็นผู้บริหารและทำการตลาดให้กับโครงการนี้ในเวลาต่อมา
มร. คี เทค คุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดิ แอสคอทท์ กรุ๊ป กล่าวว่า "ภายในเวลาเพียงหกเดือนนับตั้งแต่เราเริ่มเข้ามาบริหารโครงการซัมเมอร์เซ็ท เลค พอยท์ ปริมาณการเข้าพักของโครงการฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าหรือเกินกว่าร้อยละ 80 ซึ่งสะท้อนให้เห็นจุดแข็งทางด้านการแข่งขันของเราที่สามารถกระตุ้นปริมาณการเข้าพักจับจองที่พักอาศัยในโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ แบบคงที่ได้โดยมีอัตราการเข้าออกไม่มากนักภายในระยะเวลาอันสั้น"
"เราสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้โดยนำทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมเป็นพิเศษมาร่วมกันจัดรูปแบบการเปิดตัวแบบนำร่อง (pre-opening) ที่เรียกความสนใจได้อย่างฮือฮาภายในชั่วพริบตา เพื่อเป็นการร่นระยะเวลาและขั้นตอนการแนะนำโครงการฯ ให้กระชับรัดกุมกว่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ การวางแผน และการตลาด เพื่อให้เกิดกำไรจากการบริหารงานโครงการฯ" มร. คี กล่าว
โครงการซัมเมอร์เซ็ท เลค พอยท์ ประกอบด้วยห้องพักจำนวน 199 ยูนิต บนอาคารสูง 26 ชั้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคอมเพล็กซ์อาคารคู่แฝดที่รวมเอาอาคารที่พักอาศัยสูง 31 ชั้นขนาด 157 ยูนิตเอาไว้ด้วย ภายในโครงการฯ มีห้องพักให้เลือกทั้งแบบสตูดิโอที่ตกแต่งอย่างสวยงามมีสไตล์ และแบบสองห้องนอนพร้อมห้องครัวในบรรยากาศทันสมัย นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น อุปกรณ์สันทนาการ สระว่ายน้ำ จาคุสซี่ ห้องอบไอน้ำ โรงยิม สนามสควอซ์ ศูนย์บริการธุรกิจ และห้องสมุด โดยพื้นที่โดยรอบจะสามารถมองเห็นภูมิทัศน์ที่สวยงามตระการตาของทะเลสาบและอยู่ใกล้ย่านช้อปปิ้งและสถานบันเทิง
มร. คี กล่าวต่อไปว่า "เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะก้าวเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดเซอร์วิส อพาร์ตเม้นท์ในกรุงเทพฯ ด้วยปริมาณห้องพักรวม 1,000 ยูนิต ในปี 2545 ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของเราในการสร้างชุมชนสำคัญในเมืองใหญ่ที่เป็นประตูเชื่อมโยงกับที่อื่น ๆ และทำกำไรจากการดำเนินงานให้ได้มากกว่าคู่แข่ง โดยการรวมโครงการต่างๆ เข้ามาบริหารร่วมกันเพื่อที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้เป็นจำนวนมากในราคาที่ถูกกว่าและสร้างรายได้ให้มากที่สุด"
ปัจจุบันกิจการของดิ แอสคอทท์ กรุ๊ปในกรุงเทพฯ รวมไปถึงโครงการ ซัมเมอร์เซ็ท ทองหล่อ (Somerset Thonglor) ขนาด 93 ยูนิต โครงการที่พักอาศัยพร้อมบริการ ออมนิ ทาวเวอร์ (Omni Tower)ขนาด 118 ยูนิต และโครงการที่พักอาศัย คาลลิสต้า (Kallista) ขนาด 61 ยูนิต
ดิ แอสคอทท์ กรุ๊ปวางแผนที่จะเปิดโครงการที่พักอาศัยหรูหราพร้อมบริการเบ็ดเสร็จเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนเพิ่มขึ้นอีกในย่านทำเลทองบนถนนสุขุมวิท ได้แก่ โครงการ ดิ แอสคอทท์ พิรญา (The Ascott Piraya) ขนาด 300 ยูนิต ในไตรมาสที่สามของปี 2545 และโครงการซัมเมอร์เซ็ท ริเวอร์ตัน (Somerset Riverton) ขนาด 101 ยูนิต ในไตรมาสสุดท้ายของปีเดียวกัน
โครงการ ดิ แอสคอทท์ พิรญา ภายใต้ชื่อ ดิ แอสคอทท์ ซึ่งเป็นแบรนด์ชูโรงของบริษัทฯ ตั้งกลุ่มเป้าหมายหลักไปที่กลุ่มผู้บริหารระดับสูง โดยจะเน้นรูปแบบความเป็นอยู่หรือไลฟ์สไตล์ที่หรูหราล้ำเลิศและพิถีพิถัน ในขณะที่แบรนด์ "ซัมเมอร์เซ็ท" จะเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายผู้บริหารระดับผู้บังคับบัญชาและระดับอาวุโส โดยจะเน้นรูปแบบความเป็นอยู่ที่ทันสมัยอย่างมีสไตล์และเป็นกันเอง
ในอนาคตบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายกิจการทางด้านเซอร์วิส เรสซิเด้นท์เพิ่มขึ้นจาก 6,000 ยูนิตเป็น 15,000 ยูนิต ภายในปี 2548 โดยจะประยุกต์ประสบการณ์และความชำนาญที่มีอยู่มาเป็นเครื่องมือในการยกระดับอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ชื่อ "ดิ เอสคอทท์" และ "ซัมเมอร์เซ็ท" จากตำแหน่งผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่พักอาศัยในเอเชียแปซิฟิกเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระดับโลก และจะนำจุดแข็งทางด้านแบรนด์สินค้ามาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งของธุรกิจให้เช่าและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็น 1 ใน 3 ของกิจการทั้งหมดและเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียมเป็น 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด
"ส่วนต่างกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจที่กำลังเติบโตของเราผนวกกับสัญญาการบริหารโดยใช้ค่าธรรมเนียมเป็นเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันจะช่วยให้เราได้รับผลตอบแทนต่อหุ้น (return on equity) คิดเป็นร้อยละ 12-15 ภายในปี 2548 ตามที่วางเป้าหมายไว้" มร. คี กล่าว
ไอพีทีพีเอฟ เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างดิ แอสคอทท์ กรุ๊ป (ถือหุ้น 30%) และบริษัท ไอ. พี. พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ เอเชีย จำกัด (ถือหุ้น 70%) ซึ่งเป็นบริษัทกองทุนที่ก่อตั้งขึ้นที่กวิร์นซี่ย์ (Guernsey) บนหมู่เกาะแชลแนล โดยมีไอ.พี เรียล เอสเตรท ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างไอเอ็นจี เรียล เอสเตรท และบริษัท แคปิตอลแลนด์ จำกัด เป็นผู้บริหารงาน
ดิ แอสคอทท์ กรุ๊ป เกิดจากการรวมกิจการของดิ แอสคอทท์ จำกัดกับซัมเมอร์เซ็ท โฮลดิ้งส์ จำกัด ในเดือนพฤศจิกายน 2543 และเป็นบริษัทบริหารโครงการที่พักอาศัยพร้อมบริการในเครือแคปิตอลแลนด์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ภายใต้ชื่อ "แอสคอทท์" ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นเจ้าของและ/หรือบริหารงานโครงการเซอร์วิส เรสซิเดนส์ มากกว่า 6000 ยูนิต ใน 16 เมืองใน 10 ประเทศ--จบ--
-อน-
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit