กรุงเทพฯ--7 พ.ย.--อย.
ยาคุมกำเนิด ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยในการวางแผนครอบครัว ของคู่สมรส ที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร ซึ่งการคุมกำเนิดมีอยู่หลายวิธี แต่ที่กำลังได้รับความนิยม ในปัจจุบัน และแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น ทั้งเพศชายและหญิง คือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
เนื่องจากยาประเภทนี้ ไม่ต้องกินทุกวัน เหมือนยาคุมแบบอื่น แต่ใช้กินเฉพาะ หลังการมีเพศสัมพันธ์ ในกรณีที่ไม่มีการป้องกัน ขาดการคุมกำเนิดเท่านั้น หรือที่เรียกว่า ยาคุมฉุกเฉิน ( emergency contraceptive pill ) ในประเทศไทย มียาคุมฉุกเฉิน 2 ยี่ห้อ ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด คือ โพสตินอร์ และมาดอนนา ลักษณะของตัวยา เป็นแบบฮอร์โมนเดี่ยวทั้งสองชนิด เม็ดยามีสีขาว บรรจุขายแผงละ 2 เม็ด ราคา 35 บาท และ 20 บาท ตามลำดับ
ยาคุมฉุกเฉิน ถือได้ว่าเป็นทางเลือกหนึ่ง หากเกิดความผิดพลาด ในการคุมกำเนิด เช่น นับวันผิด ถุงยางรั่ว ลืมกินยา หรือถูกข่มขืนเท่านั้น แต่ไม่เหมาะ ในการนำมาใช้คุมกำเนิด แบบทั่วๆ ไป เนื่องจากสารตกค้าง อาจทำให้เสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งมดลูก และมะเร็งเต้านม อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสเสี่ยง ต่อการตั้งครรภ์ มากกว่าการใช้ยาคุมกำเนิด แบบธรรมดาอีกด้วย
ส่วนประสิทธิภาพ ของยาคุมฉุกเฉิน คือ ไปขัดขวางการตกไข่ ทำให้การตกไข่ช้าไปกว่าเดิม หรือขัดขวางการฝังตัวของไข่ ที่ผสมแล้ว ช่วยลดโอกาสเสี่ยง ต่อการตั้งครรภ์ ได้ประมาณ 85% แต่หากตัวอ่อนปฏิสนธิแล้ว ฤทธิ์ของยาไม่สามารถขัดขวาง การเติบโตของตัวอ่อน แต่จะปรับสภาพผนังมดลูก ทำให้ไม่พร้อมต่อการฝั่งตัว ดังนั้นยาคุมฉุกเฉิน จึงมิใช่ยาทำแท้ง อย่างที่หลายคนเข้าใจ
ปัจจุบันนี้ในหมู่วัยรุ่น การใช้ยาคุมฉุกเฉิน กลับได้รับนิยม มากกว่าการใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากไม่ยุ่งยาก ในการรับประทาน และหาซื้อได้ง่าย ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งจากผลการวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ ของคนไทยพบว่า ชายและหญิง มีความสัมพันธ์ทางเพศ เร็วขึ้นจากเมื่อก่อน และการมีคู่นอนมากกว่าหนึ่งคน ถือเป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่น่าแปลกใจ หากกลุ่มลูกค้าหลัก ที่ซื้อยานี้ คือ กลุ่มวัยรุ่นชาย - หญิง ที่มีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่ จะเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง
นายชาญชัย นักเรียนชั้นม.4 โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ให้เหตุผลในการซื้อยาคุมฉุกเฉิน ว่ารู้จักมาจากเพื่อนๆ ที่ใช้อยู่เป็นประจำ เนื่องจากหาซื้อสะดวกและไม่ยุ่งยาก มีอะไรกัน แล้วก็รีบให้ผู้หญิงกิน ไม่ต้องกลัวว่าจะท้อง และยังพกง่ายกว่าถุงยางแลดูไม่น่าเกลียด เพราะไม่มีใครรู้ว่า เป็นยาอะไร ซึ่งโดยส่วนตัว ไม่ค่อยชอบใช้ ถุงยางอนามัยกับแฟน เพราะไม่เป็นธรรมชาติ จะใช้กับผู้หญิงอย่างว่ามากกว่า
นางสาวพัชราภรณ์ ดาบสมเด็จ นักศึกษา มรส. คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปี 4 กล่าวว่า การใช้ยาคุมฉุกเฉิน ทำให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ โดยขาดการยั้งคิดมากขึ้น เนื่องจากมียาคุมฉุกเฉินมาใช้ หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นวิธีป้องกันอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะหากเกิดตั้งครรภ์ โดยไม่ตั้งใจ เด็กที่เกิดมา ก็จะเป็นปัญหาสังคม หรือไม่มารดา ก็ไปทำแท้งเถื่อน ทำให้เป็นอันตรายต่อตนเอง และผิดหลักศีลธรรมด้วย
น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ กล่าวถึงผลเสีย จากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ผิดประเภทในหมู่วัยรุ่นว่า จะทำให้เกิดพฤติกรรม ของการมีเพศสัมพันธ์ ก่อนวัยอันควรเพิ่มมากขึ้น และอาจก่อให้เกิด ปัญหาสังคมตามมา ในอนาคต ซึ่งสิ่งที่เป็นข้อผิดพลาด ในประเทศไทยก็คือ เราสามารถซื้อยากินเอง ได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาทำให้มีการนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้ อย่างพร่ำเพรื่อ ไม่ได้ใช้ในกรณี ที่ฉุกเฉินจริงๆ แล้วแทนที่ผู้ชาย จะพกถุงยางอนามัย หรือผู้หญิงจะพกถุงยางอนามัย เพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง ผู้ชายกลับหันมาพกยาเม็ดนี้เอง พอมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วก็ให้ผู้หญิงกิน เพื่อป้องกันการท้อง ปัญหาที่ตามมาก็คือ เมื่อมันง่ายที่จะมีเพศสัมพันธ์ หนุ่มสาวก็ขาดความยับยั้งชั่งใจ ทำลงไปเพราะคิดว่า มีการป้องกันที่ปลอดภัย โดยขาดความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และความเข้าใจผิดๆ ของผู้หญิงไทยอีกประการหนึ่งคือ สำนึกเรื่องความรับผิดชอบ คิดแค่ว่าผู้ชายคนนี้รัก หากไม่ยอมเป็นของกันและกัน ฝ่ายชายจะไปมีคนอื่น โดยไม่คิดถึงผลเสียที่อาจตามมา เช่น ปัญหาการทำแท้ง การติดโรคเอดส์ ฯลฯ
ทั้งนี้ยาคุมฉุกเฉิน จะมีประโยชน์มากๆ สำหรับกรณีถูกข่มขืน ซึ่งแพทย์ต้องป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ หากพบแพทย์ภายใน 3 วัน จะมีกระบวนการที่ทำให้สภาพร่างกาย ไม่เหมาะสมกับการตั้งท้อง โดยต้องกิน 2 ครั้ง ครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และกินครั้งที่สอง ห่างจากครั้งแรกไป 12 ชั่วโมง ยาจึงจะมีผลและประสิทธิภาพในการป้องกันสูงสุด มิใช่กินภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ตามที่ใบกำกับยาระบุไว้ ซึ่งผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉิน คือ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนมาผิดปกติ ไม่มีอันตรายรุนแรง แต่ผลข้างเคียงในระยะยาวที่อาจทำให้เกิดมะเร็งได้นั้น ต้องดูจากพฤติกรรมการใช้ยา หากปฏิบัติถูกต้องตามหลัก ก็ไม่เพิ่มอัตราการเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง แต่หากใช้ยาโดยขาดการควบคุมอันนี้ส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งแน่นอน
ด้านแนวทางป้องกัน ปัญหาการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ผิดประเภท น.พ. พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ต้องให้ความรู้ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ ที่ปลอดภัยแก่วัยรุ่น ให้มากกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบัน ยังมีคนจำนวนมาก ที่ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์อยู่ อีกทั้งคนที่เป็นผู้หญิง ก็ต้องรู้จักที่จะป้องกันตัวเอง จากการมีเพศสัมพันธ์ด้วย--จบ--
-สส-
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit