กรุงเทพ--1 ก.ย.--บล.กองทุนรวมฯ
บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม จำกัด (มหาชน) หนุนกองทุนรวมพัฒนาธุรกิจภูมิภาคที่อยู่ภายใต้การบริหารสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises-SMEs) เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ธุรกิจ SMEs ช่วยเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ
ดร. เจษฎา โลหอุ่นจิตร กรรมการจัดการ บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจากการที่รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่จะเป็นปัจจัยช่วยกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจให้คืนสู่ปกติและเติบโตขึ้นนั้น บล.กองทุนรวมฯ ตระหนักในเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกันและพร้อมจะสนับสนุนนโยบายของภาครัฐรวมทั้งมีความประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกองทุนภายใต้การจัดการคือ "กองทุนรวมพัฒนาธุรกิจภูมิภาค - Thai Rural Equity Fund (TREF)" ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2536 ที่จะสนับสนุน SMEs ได้เป็นอย่างดี กองทุนดังกล่าวมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 621.55 ล้านบาท โดยระดมเงินทุนจากสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศ ได้แก่ ธนาคารออมสินธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยธนาคารพาณิชย์ของไทยและสถาบันการเงินชั้นนำอื่นๆ เพื่อไปร่วมลงทุนในธุรกิจและอุตสาหกรรมของส่วนภูมิภาคในอัตราส่วนไม่เกินร้อยละ 25 ของทุนจดทะเบียน ซึ่งเรียกชำระแล้วของบริษัทในภูมิภาค กองทุนรวมพัฒนาธุรกิจภูมิภาคจึงถือเป็นผู้ร่วมทุนของธุรกิจ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งด้านเงินทุนของผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่เงินกู้ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจไม่มีภาระในการจ่ายดอกเบี้ย
ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2542 กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 553.7 ล้านบาท และมูลค่าหน่วยลงทุน 8.9079 บาท กองทุนฯ ได้ให้ความสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในส่วนภูมิภาคไปแล้ว 6 ราย
กรรมการจัดการ บล.กองทุนรวมฯ อธิบายเพิ่มเติม ถึงคุณสมบัติของกิจการที่กองทุนรวมพัฒนาธุรกิจภูมิภาคจะลงทุนมีดังนี้
1. เป็นบริษัทที่อยู่ในประเภทอุตสาหกรรมหรือประกอบธุรกิจ หรือ ผลิตสินค้าที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) หรือที่จำเป็นสำหรับการบริโภค หรือที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลหรือที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย โดยที่สินค้าและบริการจากต่างประเทศไม่สามารถแข่งขันได้ง่าย (Non-tradable Goods)
2. เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี และปทุมธานี
3. เป็นบริษัทที่ใช้แรงงาน และ/หรือวัตถุดิบและ/หรือทรัพยากรในท้องถิ่น ซึ่งจะก่อให้เกิดราย ได้แก่ ท้องถิ่นนั้น แต่จะไม่เป็นประเภทอุตสาหกรรมหรือประกอบธุรกิจหรือผลิตสินค้าและบริการ ที่เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ โดยไม่มีการสร้างทดแทนขึ้นที่เหมาะสม รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ หรือผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีวิธีการที่เป็นการลดหรือป้องกันไม่ให้เกิดมลภาวะหรือผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม
4. คณะกรรมการและคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
(ตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการฝ่ายหรือผู้จัดการฝ่ายขึ้นไป) ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถหรือประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจหลักของบริษัท รวมทั้งเป็นผู้ที่มีคุณธรรม และมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ โดยไม่มีประวัติการกระทำความผิดที่ร้ายแรงโดยเจตนาตามกฎหมาย หรือมีพฤติกรรมที่สามารถพิจารณาได้ว่า
มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมในการเป็นกรรมการ และ/หรือผู้บริหารระดับสูง
5. บริษัทมีแผนงานที่ชัดเจนในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี หลังจากการลงทุนของกองทุนฯ ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทยินดีที่จะรับซื้อคืนหุ้นสามัญหรือหลักทรัพย์อื่นที่ออกโดยบริษัทจากกองทุนฯ
6. บริษัทจะดำเนินการให้มีคุณสมบัติอย่างน้อย ตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเรื่องการรับหลักทรัพย์จดทะเบียน โดยเริ่มดำเนินการก่อนกองทุนฯ เข้าไปลงทุนในบริษัท
7. บริษัทจะต้องมีศักยภาพในการทำกำไร ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต นอกจากนี้ สัดส่วนของหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทต้องไม่เกิน 2 เท่าก่อนวันที่กองทุนฯ เข้าร่วมลงทุน
8. คุณสมบัติอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการด้านการลงทุนของกองทุนฯ จะได้กำหนดเพิ่มเติม
ดร.เจษฎา กล่าวว่า การผ่อนผันคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งข้างต้นจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการด้านการลงทุนของกองทุนฯ เท่านั้น ทั้งนี้ กิจการใดที่สนใจให้กองทุนรวมพัฒนา-ธุรกิจภูมิภาคเข้าร่วมลงทุน ติดต่อกองทุนรวมพัฒนาธุรกิจภูมิภาคได้ที่ฝ่ายบริหารกองทุน บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม จำกัด (มหาชน) โทร. 661-9000-99 ต่อ 711 หรือ 754 (ยังมีต่อ)
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit