สหวิริยาสตีลอินดัสตรีชี้แจงผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2541

30 Apr 1998

กรุงเทพ--30 เม.ย.--สหวิริยาสตีลอินดัสตรี

นายอดิศักดิ์ เหล่าจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI ชี้แจงถึงผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2541 (ก่อนการสอบทานของผู้สอบบัญชี) ว่าบริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 2,189.5 ล้านบาท หลังจากหักต้นทุนขายแล้วมีกำไรขั้นต้นจากการขาย 367.2 ล้านบาท สูงกว่ากำไรขั้นต้นในช่วงเดียวกันของปี 2540 ซึ่งมีจำนวน 116.3 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและดอกเบี้ยจ่ายแล้ว บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 177.1 ล้านบาท แต่หลังจากรวมรายได้อื่นซึ่งรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 3,111.5 ล้านบาทแล้ว บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 3,001 ล้านบาท

ในไตรมาสแรก บริษัทจำหน่ายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนได้ทั้งสิ้น 146,347 ตัน แบ่งเป็นการจำหน่ายให้บริษัทลูกค้ากลุ่มโรงงานเหล็กแผ่นรีดเย็น จำนวน 14,037 ตัน การจำหน่ายให้แก่ลูกค้าภายในประเทศอื่น ๆ 90,554 ตัน และการส่งออกไปยังต่างประเทศ 41,893 ตันหรือร้อยละ 28.63 ของการจำหน่ายทั้งหมด โดยมีต้นทุนการผลิต (Conversion Cost) 46.9 เหรียญสหรัฐต่อตัน

สำหรับการปรับโครงสร้างทางการเงินของ SSI ของบริษัทซึ่งมีบริษัทหลักทรัพย์ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินนั้น ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน มีมติให้บริษัทจัดสรรจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 255 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ และออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญให้แก่ผู้ถือหุ้นที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวโดยไม่คิดมูลค่า ในสัดส่วน 1 หุ้นสามัญต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วย ใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวจะมีอายุ 10 ปี โดยมีราคาการใช้สิทธิ 10 บาทต่อหุ้น และที่ประชุมได้อนุมัติการจัดสรรหุ้นอีกจำนวน 255 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ที่ประชุมได้อนุมัติการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 250 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง

ทั้งนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้กำหนดราคาขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งสองส่วนไม่ต่ำกว่า 3.50 บาทต่อหุ้น และคณะกรรมการของบริษัทจะกำหนดราคาขายที่แน่นอน ระยะเวลาการจองซื้อหุ้น รวมถึงรายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระจายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในภายหลัง

ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่อขอแปลงหนี้ระยะสั้นบางส่วนเป็นหนี้ระยะยาวและกำลังเจรจากับผู้ถือหุ้นรายใหม่ซึ่งประกอบด้วยสถาบันการเงินในต่างประเทศและผู้ประกอบอุตสาหกรรมเหล็กต่างประเทศมากกว่า 5 ราย โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินได้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้--จบ--