อินเทลเผยรายได้ไตรมาสแรก มูลค่า 6,000 ล้านเหรียญ มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.72 เหรียญ

24 Apr 1998

กรุงเทพ--24 เม.ย.--บริษัท อินเทค คอร์ปอร์เรชั่น

บริษัท อินเทล คอร์ปอร์เรชั่น เปิดเผยว่า บริษัทมีรายรับและผลกำไรลดลงจากเดิม เนื่องจากความต้องการของตลาดในผลิตภัณฑ์ไมโครโปรเซสเซอร์ที่ลดลง โดยเฉพาะในส่วนของลูกค้าซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำ (OEM) ความต้องการที่ลดลงนี้ ส่งผลให้บริษัทมีรายรับที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในอเมริกา ญี่ปุ่นและยุโรป ในขณะที่รายรับช่วงไตรมาสแรกทางแถบเอเชียแปซิฟิกกลับสูงขึ้นจากไตรมาสที่สี่ของปี 2540

รายได้มากกว่าครึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงไตรมาสจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมแบบ P6 โดยมีเพนเที่ยม ทู โปรเซสเซอร์ เป็นผลิตภัณฑ์เด่นที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องติดต่อกัน

อินเทลทำรายได้ในไตรมาสแรกรวม 6,000 ล้านเหรียญ ลดลงร้อยละ 7 จากรายได้รวม 6,400 ล้านเหรียญของช่วงไตรมาสแรกในปี 2540 และลดลงร้อยละ 8 จากรายได้รวม 6,500 ล้านเหรียญของช่วงไตรมาสที่สี่ประจำปี 2540

สำหรับรายได้สุทธิในไตรมาสแรกนั้นมีจำนวน 1,300 ล้านเหรียญ ลดลงร้อยละ 36 จากรายได้สุทธิจำนวน 2,000 ล้านเหรียญของไตรมาสแรกในปี 2540 และลดลงร้อยละ 27 จากรายได้สุทธิจำนวน 1,700 ล้านเหรียญในไตรมาสที่สี่ของปี 2540 รายได้สุทธิในไตรมาสแรกรวมถึงค่าธรรมเนียมที่คิดเพียงครั้งเดียว (one-time charge) และนำมาหักจากรายได้สุทธิไม่ได้ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 165 ล้านเหรียญ หรือ 0.9 เหรียญต่อหุ้น ที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการบริษัท ชิป แอนด์ เทคโนโลยี อิงค์ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ

กำไรสิทธิต่อหุ้นในช่วงไตรมาสแรกลดจาก 1.10 เหรียญในไตรมาสแรกของปี 2540 ลงไปอยู่ที่ 0.72 เหรียญต่อหุ้น หรือลดลงร้อยละ 35 กำไรสุทธิต่อหุ้นในช่วงไตรมาสแรกลดลงร้อยละ 27 จาก0.98 เหรียญต่อหุ้นในไตรมาสที่สี่ของปี 2540 กำไรสุทธิต่อหุ้นในไตรมาสแรกรวมถึงผลกระทบจากค่าธรรมเนียม ซึ่งหักเพียงครั้งเดียวที่กล่าวไปแล้วข้างต้นด้วย

ดร.แอนดรูว์ เอส.โกรฟ ประธานและหัวหน้าสำนักบริหาร กล่าวว่า "ไตรมาสนี้เรามีรายได้ที่ลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมพีซีมีความก้าวหน้าและมีการผลิตออกมาในปริมาณที่เกินกว่ากำลังซื้อที่มีอยู่ของผู้ใช้"

"อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ยอมให้สิ่งนี้มาบั่นทอนความเชื่อมั่นที่ว่า ธุรกิจการจัดหาส่วนประกอบพื้นฐานสำหรับคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลกของเรานั้นเป็นรากฐานของโลกเทคโนโลยียุคใหม่ ซึ่งเราได้ลงทุนในส่วนของผลิตภัณฑ์โรงงานผลิต และโครงการต่างๆ ตามแนวทางดังกล่าว"

ในช่วงไตรมาสแรกนี้ บริษัททำการซื้อหุ้นสามัญคืนทั้งหมด 22.1 ล้านหุ้นในราคา 1,800 ล้านเหรียญ ตามโครงการที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้ซื้อหุ้นกลับคืนมาแล้วทั้งสิ้น 235.5 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 8,600 ล้านเหรียญ นับตั้งแต่ริเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2533 คณะกรรมการบริหารของอินเทลได้อนุมัติการเพิ่มจำนวนหุ้นที่จะทำการซื้อคืนภายใต้โครงการซื้อคืนหุ้นนี้อีกเป็นจำนวน 100 ล้านหุ้น ซึ่งการเพิ่มจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนดังกล่าวทำให้มีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนภายใต้โครงการนี้รวมทั้งสิ้น 129.7 ล้านหุ้น หลังจากจัดสรรหุ้นต่างๆ ภายใต้สัญญาจะซื้อจะขาย (put warrant) ที่ยังค้างอยู่ออกมาแล้ว

ในช่วงไตรมาสแรก มีการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญแบบ Step-Up Warrant จำนวนประมาณ 78 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านเหรียญ

ในระหว่างช่วงไตรมาส บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลประจำไตรมาสตามปกติจำนวน 6.03 เหรียญต่อหุ้น โดยจะจ่ายในวันที่ 1 มิถุนายน 2541 ให้กับผู้ถือหุ้นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียน ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2541 ทั้งนี้ อินเทลได้ทำการจ่ายเงินปันผลรายได้ไตรมาสให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องนานกว่า 5 ปี

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โทร. 273-8800--จบ--