กรุงเทพ--31 มี.ค.--ไอเอฟดี
ผอ.ไอเอฟดีชี้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งตัวขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุนักลงทุนต่างประเทศเชื่อมั่นเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยเตรียมเต็มที่จ่อคิวนำเงินซื้อของถูกที่ถูกเกือบสุด ๆ แนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่าเก็งกำไร ในที่สุดภาคการเงินจะฟื้นตัวมีเสถียรภาพได้ก่อน ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ อย่างค่อนข้างมีเสถียรภาพ อาจมีสิทธิ์แตะถึงระดับ 32-35 บาทต่อดอลลาร์หากไม่เกิดปัจจัยเสี่ยงที่คาดไม่ถึงที่เปลี่ยนแปลงจากสภาพปัจจุบัน
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) กล่าวถึงแนวโน้มค่าเงินบาทว่า แนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนของไทยจะค่อย ๆ ขยับตัวสูงขึ้น ช่วงนี้อาจจะอยู่ระหว่าง 38-45 บาทต่อดอลลาร์ แต่ค่าดุลยภาพของเงินจะไม่ใช่ที่ประมาณ 40 บาทกว่า ๆ อย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ แต่สามารถแข็งค่าขึ้นถึงประมาณ 35 บาทต่อดอลลาร์ และในระยะยาวอาจจะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้ถึงช่วง 32-35 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นค่าเงินที่ค่อนข้างแข็งอย่างมีเสถียรภาพ ทั้งนี้หากไม่มีปัจจัยเปลี่ยนแปลงที่กระทันหันและรุนแรงเกิดขึ้นผอ.ไอเอฟดี ชี้แจงเหตุผลในการวิเคราะห์ว่าค่าเงินบาทอาจแตะระดับ 32-35 บาท สืบเนื่องสาเหตุหลัก 4 ประการ คือ ประการแรก เป็นผลจากความสำเร็จของการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐที่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของสหรัฐที่จะโอบอุ้มรัฐบาลไทยด้วยการโอบอุ้มให้ภาคการเงินมีเสถียรภาพก่อน ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินบาทหรือตลาดหลักทรัพย์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ส่งผลให้ภาพพจน์และความเชื่อมั่นของไทยดีขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน ประการที่สอง นักลงทุนต่างชาติค่อนข้างพอใจในนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ซึ่งเน้นเปิดเสรีทางการเงินการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ ประการที่สาม ปัจจุบันราคาหุ้นของกิจการต่าง ๆ ในไทยก็ถูกมากจนถึงเวลาที่น่าลงทุนแล้ว "และ ประการที่สี่ ผมคิดว่านักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ จะไม่ใช่นักเก็งกำไรระยะสั้นเพราะสภาพตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ไม่คุ้มที่จะนำเงินทุนมาโหมซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรเพราะจะยิ่งทำให้มูลค่าหุ้นสูงขึ้นจนขายไม่ได้และขาดทุนในที่สุด ดังนั้นผมจึงเห็นว่านักลงทุนจะไม่ถอนทุนกลับในระยะสั้นแต่จะอยู่นานพอสมควรจนกว่าจะได้รับผลตอบแทนคืนกลับและได้กำไรอย่างเหมาะสมเมื่อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงฟื้นตัวซึ่งจะผลให้ผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ดีขึ้น"
อย่างไรก็ตาม ผอ.ไอเอฟดี กล่าวว่า การวิเคราะห์ว่านักลงทุนจะอยู่ในระยะยาวนี้ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานการณ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบต่อนักลงทุนอย่างกระทันหัน ทั้งปัจจัยภายนอก เช่น เสถียรภาพทางการเงินในภูมิภาค และปัจจัยภายในประเทศ เช่น เสถียรภาพทางการเมือง เป็นต้น ซึ่งคงเป็นเรื่องที่เราต้องดูไปเรื่อย ๆ เป็นระยะ ๆ แต่หากวิเคราะห์จากปัจจัยที่เป็นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง โอกาสที่ตลาดหลักทรัพย์จะค่อย ๆ ขึ้นไปค่อนข้างสูง แต่จะขึ้นทีละเล็กทีละน้อยไม่ขึ้นหวือหวา แต่จะไม่สามารถถอยกลับไปถึง 300 จุดเหมือนที่ผ่านมาในอดีตส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นเริ่มดีขึ้นมาตลอดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม มีการเพิ่มขึ้นเกือบ 200 จุดซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่เร็วมาก อาจวิเคราะห์ได้ว่าเกิดขึ้นเงินลงทุนจำนวนมหาศาลที่ไหลมาจากต่างชาติ และเงินจำนวนมากมายที่เข้ามาจะส่งผลทำให้ตลาดทรัพย์ในภาพรวมกระเตื้องขึ้น โดยการลงทุนในภาคการเงินจะเริ่มกระเตื้องขึ้นก่อนภาคอื่น ๆ เพราะมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว นับจากนี้จะค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยไม่ได้เพิ่มอย่างรวดเร็ว แต่จะมีลักษณะเหมือนฟันปลา ขึ้น ๆ ลง ๆ สาเหตุใหญ่เกิดจากการที่เริ่มมีกองทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามา ทั้งซื้อแล้วและเตรียมจ่อซื้อไว้จำนวนมากเพียงแต่รอโอกาสว่าจะมีสิทธิ์ต่ำกว่านี้อีกหรือไม่ เมื่อภาคการเงินดีขึ้นก็จะส่งผลทำให้ภาคอื่น ๆ เริ่มดีขึ้นตามมาในที่สุด"ตอนนี้มีเงินต่างชาติที่ "จ่อคิว" เตรียมเข้าซื้อหุ้นและกิจการในประเทศไทยจำนวนมาก คงรอเพียงว่ากฎเกณฑ์และสภาพต่าง ๆ ในประเทศจะเอื้ออำนวยขนาดไหน หากระบบในประเทศเอื้อต่อการเข้ามาลงทุน เงินที่ไหลเข้ามาจะส่งผลทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น" ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวในตอนท้าย--จบ--
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit