กรุงเทพ--3 ธ.ค.--บู๊ทส์
"บู๊ทส์" ตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดยาอม ส่งสเตร็ปซิลน้องใหม่ เจาะตลาดกลุ่มอาการเจ็บคอรุนแรง เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด คาดปีหน้า กลุ่มยาอมแข่งขันรุนแรง บู๊ทส์หวังส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม 3% จากตลาดยาอม
มร.เคลวิน ม็อฟเฟ็ต กรรมการผู้จัดการ บริษัท บู๊ทส์ เอลท์แคร์ ประเทศไทย บริษัทในกลุ่มบู๊ทส์ เฮลท์แคร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเวชภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมานานกว่า 120 ปี เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ส่งผลิตภัณฑ์ยาอม "สเตร็ปซิล" สู่ตลาดกว่า 110 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1957 จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 40 ปี ผลปรากฏว่าได้รับการตอบสนองจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ
"ปัจจุบัน บริษัทมีรายได้จากยาอมสเตร็ปซิลสูตรดั้งเดิมประมาณ 21 ล้านบาท สูตรน้ำผึ้งผสมมะนาวประมาณ 42 ล้านบาท สูตรวิตามินซีประมาณ 56 ล้านบาท และสูตรเมนทอลประมาณ 21 ล้านบาท คิดเป็นรายได้ทั้งสิ้นประมาณ 140 ล้านบาท จากสัดส่วนการครองตลาดสินค้าประเภทยาอมทุกประเภทของบู๊ทส์ประมาณ 158 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดยาอมโดยรวม 400 ล้านบาท"
ถึงแม้ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่บริษัทฯ คาดการณ์ว่าในปี 2541 ยาอมสเตร็ปซิลจะโตอีก 12% เพราะสเตร็ปซิลมุ่งจับกลุ่มคนที่ต้องการบรรเทาอาการเจ็บคอจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสด้วยตนเอง ซึ่งยาอมสเตร็ปซิลสามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง เพราะในยาอมมีส่วนผสมของแอนตี้เซพติก 2 ชนิด คือ Dichiorobenzyl alcohol และ Amylemetacresol
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังผลิตและจำหน่ายยาอมเด็กซ์โทรเมทอร์แฟน ซึ่งจับกลุ่มผู้บริโภคที่มีอาการไอแห้ง และไม่มีเสมหะ โดยในขณะนี้มียอดขายประมาณ 9 ล้านบาท และคาดว่าจะโตขึ้นอีก 10% รวมทั้งยาอมเมลลอยด์ ซึ่งจับกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องใช้เสียงมาก เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ซึ่งปัจจุบันทำรายได้ประมาณ 9 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นอีก 10%
"สภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
คนทั่วไปจำเป็นต้องคำนึงถึงการดูแลสุขภาพด้วยตนเองมากขึ้น เพราะหากปล่อยให้อาการรุนแรง หรือมีอาการแทรกซ้อนอื่นเกิดขึ้น ย่อมต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่ายสูง และสูญเสียเวลางานหากต้องหยุดพัก บริษัทฯ มีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ยาอมตัวใหม่ ในกลุ่มยาอมสเตร็ปซิล ที่ช่วยระงับอาการเจ็บคอรุนแรง ในขั้นนี้ผู้บริโภคควรพบแพทย์หากอาการยังไม่ทุเลา ซึ่งบริษัทบู๊ทส์เองได้ เน้นการแนะนำสเตร็ปซิลสูตรใหม่แก่แพทย์ เพื่อให้แพทย์ได้มีโอกาสเลือกจ่ายยาอมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในการบรรเทาอาการเจ็บคอรุนแรงแก่ผู้ป่วยของตน" มร.ม็อฟเฟ็ตกล่าว
บริษัท บู๊ทส์ฯ ตั้งเป้าว่าสเตร็ปซิลน้องใหม่จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในปี 2541 ประมาณ 3% ของมูลค่าตลาดยาอมโดยรวม "สเตร็ปซิลน้องใหม่นี้ มีส่วนผสมของ Linocaine hydrochloride ซึ่งเป็นยาชาเฉพาะที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากแอนตี้เซพติก 2 ชนิด ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระงับอาการเจ็บคออย่างรุนแรงบริเวณลำคอ" มร.ม็อฟเฟ็ตกล่าว
สเตร็ปซิลน้องใหม่จะใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านเซนดรักสโตร์
และร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำประมาณ 2,500 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งโรงพยาบาลกว่า 500 แห่ง ทั่วประเทศ
สำหรับสถานการณ์ของตลาดยาอมในปี 2541 นี้คงจะมีการแข่งขันรุนแรงขึ้นเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการชะลอตัว อีกทั้งมีบริษัทที่จัดจำหน่ายยาอมเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการช่วงชิงกลุ่มลูกค้า บริษัทที่จะอยู่รอดต้องมีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง และเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าทุกระดับด้วย
"บู๊ทส์มีนโยบายให้มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โรงงานของบู๊ทส์ได้รับมาตรฐานตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา (GMP) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 จึงให้ความเชื่อมั่นกับลูกค้าว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทเรามีคุณภาพสูง" มร.เคลวินกล่าว--จบ--
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit