เบเยอร์ เดินหน้า "เปลี่ยนใหญ่" ทุ่ม 30 ล้าน สร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการสีทาบ้าน ตอกย้ำความเป็น "ผู้นำสีนวัตกรรม"

15 Nov 2024

เบเยอร์ เดินหน้า "เปลี่ยนใหญ่" ทุ่ม 30 ล้าน สร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการสีทาบ้าน ตอกย้ำความเป็น "ผู้นำสีนวัตกรรม" หลังคว้ารางวัลเกียรติยศ งานนวัตกรรมแห่งชาติ ชนะเลิศหนึ่งเดียวของประเทศไทยจาก 300 แบรนด์ของทุกอุตสาหกรรม

เบเยอร์ เดินหน้า "เปลี่ยนใหญ่" ทุ่ม 30 ล้าน สร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการสีทาบ้าน ตอกย้ำความเป็น "ผู้นำสีนวัตกรรม"

เบเยอร์ ยังคงเดินหน้าสานต่อแนวคิด "Eco-Wellness Innovation" พร้อมต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย "นวัตกรรม" เปิดตัวผลิตภัณฑ์ "BegerCool" โดยใช้เทคโนโลยี "AeroTech" วัสดุแห่งอนาคตเข้ามาเสริมแกร่งให้กับผนังบ้าน ภายใต้แนวคิด "เย็นขึ้น ทนกว่า" เพื่อยืนหยัดการเป็น The Best Cool Paint พร้อมปักธงร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านภาคธุรกิจด้วยสีรักษ์โลก ปูพรมเติมเต็มอาคารรักษ์โลกหรือ "Low Carbon Building Design" ในห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions

ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ เปิดเผยว่า กว่า 6 ทศวรรษในการดำเนินธุรกิจ หนึ่งในกุญแจที่สำคัญของการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์จนกลาย เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมถึงในตลาดผู้บริโภคทั้งบ้านเรือน อาคารและสำนักงาน คือ การนำเอานวัตกรรมมาผนวกใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง "เบเยอร์คูล (BegerCool)" ถือเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงในผลงาน เชิงประจักษ์ที่ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศ (Champ of the Champ) จากเวทีนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2567 เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งได้รับการคัดเลือกจาก 300 แบรนด์ โดยประกอบไปด้วยบริษัทชั้นนำจากทุกอุตสาหกรรมทั่วประเทศ และ ยอดขายอันดับ 1 กว่า 18 ปี ในฐานะ "ผู้นำตลาดสีบ้านเย็น" ล่าสุดได้ต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ่านการนำเอาเทคโนโลยี "AeroTech" มาพัฒนาทำให้สีทาบ้านของเบเยอร์มีความ "เย็นขึ้น ทนกว่า" พร้อมตอบโจทย์และเติมเต็มทุกการอยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ดร.วรวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า เบเยอร์ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องตามกรอบแนวคิด "Eco-Wellness Innovation" โดยสำหรับผลิตภัณฑ์ จากเบเยอร์ อย่าง "เบเยอร์คูล" ล่าสุดได้นำเอาเทคโนโลยี "AeroTech" มาผนวกใช้ควบคู่กับ "Ceramic Cooling" ในการการผลิตซึ่งมีความโดดเด่นในด้านสะท้อนความร้อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งที่สุดแห่งยุค จนเกิดการพัฒนาที่รักษ์บ้านและรักษ์โลกขั้นกว่า ด้วยหลักการทำงาน "Double Cool, Double Protection" ช่วยสะท้อนความร้อน ส่งผลให้ฟิล์มสีมีความทนทาน และไม่ถูกทำลายจากความร้อนช่วยให้ผนังบ้านมีความเย็นขึ้น โดยเบเยอร์มุ่งมั่นผสานคุณสมบัติที่โดดเด่น (High Performance) และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นพร้อมกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุมในทุกห่วงโซ่อุปทาน

"สำหรับความโดดเด่นของ เบเยอร์คูลที่มาพร้อมกับ เทคโนโลยี AeroTech เสมือนฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง โดยผลิตจากซิลิกา/ซิลิเกต (Sillica/Silicate) ทนทานต่อรังสี UV สามารถ "สะท้อนและสกัดกั้นความร้อนได้สูงสุดถึง 97.5%" ไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้าน ทดสอบโดยสถาบันทดสอบด้านรังสีและความร้อน OTM Solutions ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจากการทดสอบสามารถ "ลดอุณหภูมิได้สูงสุด 6 องศาเซลเซียส" และช่วย "ประหยัดค่าไฟได้กว่า 32%" และที่สำคัญความโดดเด่นในการทนทานต่อความร้อนนั้นส่งผลให้บ้านหรืออาคารที่เลือกใช้สีเบเยอร์คูลมีอายุการใช้งานที่นานขึ้นกว่า 10 ปี

อย่างไรก็ดีเบเยอร์ยังคง มุ่งเน้นการผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำที่ลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิต (embodied carbon) ให้น้อยที่สุด ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำความเย็นในบ้านหรือในตัวอาคารหลังจากผู้อยู่อาศัยย้ายเข้ามา (operational carbon) ส่งผลให้ตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมา เบเยอร์สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้วกว่า 350,000,000 กิโลกรัมคาร์บอนหรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ชดเชยมากกว่า 5,594,492 ต้น โดยวันนี้ถือได้ว่า เบเยอร์เป็นผู้ผลิตสีรายแรกในประเทศที่ผลักดันให้เกิดสินค้าสีที่ช่วยสะท้อนความร้อนและเป็นฟันเฟืองสำคัญในอุตสาหกรรมสีที่ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม" ดร.วรวัฒน์ กล่าวเสริม

คุณพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบเยอร์ จำกัด กล่าวว่า ในทศวรรษที่ผ่านมาอุตสาหกรรมสีทาบ้านมีการแข่งขันสูง ซึ่งที่ผ่านมาเบเยอร์ให้ความสำคัญทั้งในด้านคุณภาพและเทคโนโลยีผ่านการต่อยอดสร้างนวัตกรรมที่สอดรับกับความต้องการของตลาดโดยเฉพาะในด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมส่งผลให้เบเยอร์คูลกลายเป็นที่ยอมรับในตลาดสีรักษ์โลกตลอด 1-2 ทศวรรษที่ผ่านมา สำหรับในปี 2568 เบเยอร์ตั้งเป้าขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสีรักษ์โลกปีละ 15% ภายใน 1-2 ปีจากนี้ ซึ่งนอกจากเป็นที่ต้องการในตลาดสียังสอดคล้องกับนโยบายจากภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนแนวทางการใช้วัสดุรักษ์โลกและช่วยลดคาร์บอนหรือ "Green Product"

"สำหรับแผนการพัฒนาของเบเยอร์ในปี 2568 ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำเพื่อให้สอดรับกับมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) และ Carbon Tax ของตลาดโลก รวมถึงนำเอานวัตกรรมมาผนวกใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์เชิงบวกตลอดห่วงโซ่อุปทานทางธุรกิจ โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้ง "Net Zero Innovation & Solution Center" เพื่อเป็นศูนย์กลางให้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งห่วงโซ่อุปทานมาพัฒนาโครงการต้นแบบในการสร้างธุรกิจคาร์บอนต่ำ มากไปกว่านั้นยังมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการ ตั้งแต่ ต้นน้ำ-ปลายน้ำ และใช้สีนวัตกรรมรักษ์โลกขยายผลสู่ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ภาคการก่อสร้าง เพื่อร่วมสร้างอาคารเขียวรักษ์โลกหรือ "Low Carbon Building Design" เป็นไปได้ง่ายขึ้นและเข้าถึงได้มากขึ้นให้กับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero อย่างยั่งยืน สอดรับกับพันธกิจที่สำคัญของเบเยอร์ในการเป็น "ผู้นำสีนวัตกรรมที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม" คุณพงษ์เชิด กล่าวทิ้งท้าย

เบเยอร์ เดินหน้า "เปลี่ยนใหญ่" ทุ่ม 30 ล้าน สร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการสีทาบ้าน ตอกย้ำความเป็น "ผู้นำสีนวัตกรรม"
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit