นายพรชลิต พลอยกระจ่าง กรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ BBLAM เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) จะจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 20 จากผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 หรือระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 และกำไรสะสม ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.13380 บาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อกำหนดสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 11 ธันวาคม 2567
เมื่อนับรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุน จนถึงการประกาศจ่ายเงินครั้งล่าสุด SUPEREIF จ่ายเงินปันผลรวม 20 ครั้ง คิดเป็นเงิน 3.66448 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินลดทุนไป 4 ครั้ง คิดเป็นเงิน 0.501 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินปันผลและเงินลดทุนที่จ่ายออกไปทั้งสิ้น 4.16548 บาทต่อหน่วย
โดยตั้งแต่ปีปฏิทิน 2566 เป็นต้นไป หากกองทุนฯ จะมีการจ่ายเงินลดทุนสำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างปีปฏิทิน กองทุนฯ จะรวบรวมเงินลดทุนดังกล่าวไปจ่ายพร้อมกับเงินจ่ายที่จะพิจารณาจากรอบผลการดำเนินงานสุดท้ายของปีปฏิทินนั้น ๆ โดยสำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 กองทุนฯ มีสภาพคล่องคงเหลือหลังจากการจ่ายเงินปันผลและการกันสำรองต่าง ๆ ประมาณ 11.1 ล้านบาท หรือ 0.02163 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 กองทุนฯ จะมีสภาพคล่องคงเหลือหลังจากการจ่ายเงินปันผลและการกันสำรองต่างๆ ประมาณ 10.8 ล้านบาท หรือ 0.02106 บาทต่อหน่วย
สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2567 พบว่า รายได้รวม เท่ากับ 167.4 ล้านบาท ลดลง 3.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 21.8% จากไตรมาสก่อน โดยสาเหตุหลักของการลดลงดังกล่าวเป็นเพราะรายได้จากเงินลงทุนในสัญญาโอนสิทธิรายได้สุทธิลดลง 8.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 25.6% จากไตรมาสก่อน เป็น 158.4 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนฯ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากกรณีเหตุการณ์พายุลมแรงที่โครงการกาหลง 2 จังหวัดสมุทรสาครในปี 2566 แล้วในไตรมาสนี้ จำนวน 7.5 ล้านบาท
ในไตรมาสนี้ รายได้ของโครงการ เท่ากับ 228.6 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายไฟฟ้าทั้งหมด เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายไฟฟ้าในไตรมาสนี้ลดลง 3.7% จากจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ขายได้ลดลง 3.7% สาเหตุหลักมาจากผลรวมของรังสีแสงอาทิตย์ที่ได้รับบนแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ลดลง (ปีนี้ฝนตกมากกว่าปีก่อน ซึ่งมีปรากฎการณ์เอลนีโญ) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน รายได้จากการขายไฟฟ้าในไตรมาสนี้ลดลง 12.1% จากจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ขายได้ลดลง 12.1% อันเป็นผลจากลักษณะของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ รายได้จากการขายไฟฟ้าในไตรมาสนี้มาจากการผลิตไฟฟ้าขายได้ 37.8 ล้านหน่วย
กองทุนรวม SUPEREIF ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินโครงการกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาดเล็กมากของบริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 19 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปราจีนบุรี สระแก้ว พิจิตร และเพชรบูรณ์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เสนอขายตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง (แล้วแต่กรณี) รวม 118 เมกะวัตต์
ขณะที่ ระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2562 จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแต่ละโครงการ ซึ่งระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2562 โดยวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโครงการสุดท้ายจะสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2584
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit