เจแอลแอล (NYSE: JLL) ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการสรรหาที่ดินให้แก่หนึ่งในบริษัทผู้จัดเก็บระบบข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือดาต้าเซ็นเตอร์ บนทำเลทองริมถนนบางนา-ตราด ซึ่งเจแอลแอลได้อาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายระดับสากล ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัท และองค์ความรู้เชิงลึกด้านตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ ในการอำนวยความสะดวกให้การทำธุรกรรมมีความราบรื่นส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความสำเร็จครั้งนี้
การซื้อที่ดินเพื่อลงทุนทำโครงการดาต้าเซ็นเตอร์บนถนนบางนา-ตราดในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ของผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมากในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นดิจิทัลฮับ จากความต้องการบริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น และการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย Cloud First Policy โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แห่งประเทศไทย (BOI) ได้อนุมัติแผนการลงทุนระยะยาวให้แก่ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย
ประเทศไทยมีความพร้อมด้วยปัจจัยหลายด้านที่เหมาะสมแก่การก้าวเป็นสู่ศูนย์กลางข้อมูลในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรที่สูงกว่า 85% และมีบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดียสูงกว่า 65% ปัจจัยข้างต้นชี้ให้เห็นถึงศักยภาพพื้นฐานที่แข็งแกร่งต่อการทำธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ การลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากหนึ่งในบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นการตอกย้ำสถานะของไทยในการเป็นศูนย์รวมดาต้าเซ็นเตอร์ที่น่าจับตามองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายกฤช ปิ่มหทัยวุฒิ หัวหน้าแผนกตลาดทุนประจำประเทศไทย บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (JLL) แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนครั้งสำคัญนี้ว่า "ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของดาต้าเซ็นเตอร์คุณภาพสูงในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าไทยเริ่มเป็นที่สนใจในฐานะศูนย์กลางของระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั่วไปโครงการดาต้าเซ็นเตอร์เป็นธุรกิจที่รับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกได้น้อย จึงทำให้มีเกณฑ์การคัดเลือกสถานที่ตั้งโครงการอย่างละเอียด เนื่องจากต้องจำกัดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลในทุกๆด้าน เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการลงทุนของโครงการสำคัญในครั้งนี้"
"ประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์สูง เนื่องจากประเทศไทยยังมีจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์และพื้นที่การเก็บข้อมูลไม่มากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซีย ประกอบกับการขยายโครงสร้างพื้นฐานของระบบคลาวด์และข้อกำหนดด้านการจัดเก็บข้อมูล ควบคู่ไปกับการเสริมความพร้อมด้านพลังงานและนโยบายส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ที่ให้นักลงทุนต่างชาติที่จะมาลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์สามารถถือครองที่ดินได้ ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์สำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์จากทั่วโลก" นายกฤช ปิ่มหทัยวุฒิ กล่าวเสริม
นายไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด (JLL) กล่าวว่า "ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในเอเชียกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีความจุในการเก็บข้อมูลรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจาก 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2565 เป็น 5,000 เมกะวัตต์ในปี 2566 การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลในอุตสาหกรรมต่างๆ ของภูมิภาค โดยสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จีนยังเป็นผู้นำด้วยจำนวนดาต้าเซ็นเตอร์รวมสูงสุด 448 แห่ง ตามมาด้วยออสเตรเลียที่ 306 แห่ง และญี่ปุ่นซึ่งมีดาต้าเซ็นเตอร์ 218 แห่ง ตัวเลขนี้แสดงถึงความเป็นผู้นำในระบบโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ของประเทศดังกล่าวในเอเชียแปซิฟิก ในขณะที่ประเทศไทยมีดาต้าเซ็นเตอร์เพียง 39 แห่ง ยังตามหลังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ อย่างมาเลเซียที่มี 55 แห่งและอินโดนีเซียที่ 79 แห่ง ซึ่งตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าศักยภาพการเติบโตของไทยในภาคธุรกิจนี้ยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจดิจิทัลยังเติบโตต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล"
"เมื่อความต้องการบริการดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประเทศไทยซึ่งมีข้อได้เปรียบทั้งในเรื่องที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์และสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ดี กลายเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำคัญซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนอนาคตของธุรกิจดิจิทัลในประเทศไทยต่อไป" นายไมเคิล แกลนซี่ กล่าวเสริม
ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นหนึ่งในกลุ่มสินทรัพย์เพื่อการลงทุนสำคัญที่ขับเคลื่อนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การจ้างงาน และการลงทุนจากต่างประเทศในระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งนอกจากโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ ยังมีธุรกิจโรงแรม อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ รวมถึงธุรกิจด้านสุขภาพ เป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญที่มีส่วนขับเคลื่อนการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้ นอกเหนือจากดีลดาต้าเซ็นเตอร์ที่ได้กล่าวมาข้างต้น เจแอลแอลได้เป็นผู้ให้คำแนะนำในการขายโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งเป็นธุรกรรมการซื้อขายโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปีนี้ เมื่อไม่นานมานี้ และ เจแอลแอลกำลังให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าของบริษัท ในการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญอีกหลายรายการ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมที่พักและดาต้าเซ็นเตอร์
ภาคธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงกลุ่มสินทรัพย์เพื่อการลงทุนยอดนิยมอื่นๆที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น ยังคงดึงดูดการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์จากนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2568
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit