ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและอิตาลีเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยมูลค่าการค้าร่วมกันในปี 2566 ทั้งสิ้น 5,062.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเกือบ 1.9 แสนล้านบาท หอการค้าไทย, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สถานทูตอิตาลีประจำประเทศไทย จึงเดินหน้าจัด ประชุมอิตาเลียน-ไทย บิสซิเนส ฟอรั่ม (Italian-Thai Business Forum - ITBF) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ณ Palazzo Vecchio เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ รวมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ร่วมกัน โดยมี นักธุรกิจชั้นนำจากประเทศอิตาลีและประเทศไทยเข้าร่วมทั้งหมด 29 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทจากอิตาลี 13 บริษัท และบริษัทจากไทย 16 บริษัท ครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญตั้งแต่ อุตสาหกรรมยานยนต์, การธนาคาร, โครงสร้างพื้นฐานและการขนส่ง, อาหาร, ประกันภัย, เฟอร์นิเจอร์, ไลฟ์สไตล์, น้ำมันและก๊าซ, พลังงานหมุนเวียน, เครื่องจักร, น้ำตาล, ค้าปลีก, ยาง, ปิโตรเคมี และการท่องเที่ยว เป็นต้น
การประชุมอิตาเลียน-ไทย บิสซิเนส ฟอรั่ม ครั้งที่ 9 (ITBF) เป็นส่วนหนึ่งในการสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 156 ปี โดยเฉพาะในฐานะคู่ค้าคนสำคัญ โดยก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้เยือนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยได้หารือกับนางจอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลีเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนร่วมกัน โดย นางจอร์เจีย เมโลนี มีกำหนดเดินทางเยือนประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 อีกด้วย สำหรับการประชุม ITBF ในปีนี้มีได้รับเกียรติจาก นายเปาโล ดิโอนิซี (H.E. Mr. Paolo Dionisi) เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย, นายพุทธพร อิ้วตกส้าน เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำสาธารณรัฐอิตาลี เข้าร่วมประชุมด้วย
นางสาวบุษบา จิราธิวัฒน์ ประธานร่วมอิตาเลียน-ไทย บิสซิเนส ฟอรั่ม และที่ปรึกษากลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า "การประชุม Italian-Thai Business Forum จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 9 เพื่อสานสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยและอิตาลี รวมทั้งเป็นเวทีที่รวบรวมเหล่าซีอีโอและผู้นำของภาคเอกชนทั้งไทยและอิตาลีได้แสดงศักยภาพและความโดดเด่นของแต่ละบริษัท เพื่อเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายหลากหลายแขนง ช่วยอำนวยประโยชน์ด้านการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศให้เกิดการขยายความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ โดยอิตาลีถือเป็นประเทศ คู่ค้าอันดับที่ 24 ของไทยและอันดับที่ 3 จากอียู"
ด้านประธานร่วมฝั่งอิตาลี นายคาร์โล เปเซ็นติ (Mr. Carlo Pesenti) ประธานร่วมอิตาเลียน-ไทย บิสซิเนส ฟอรั่ม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตาโมบิลิอาเร กล่าวว่า "รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับสมาชิกทุกท่าน บริษัทอิตาโมบิลิอาเร ให้ความสำคัญกับการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการในการเติบโตสูง รวมถึงมีแนวคิดด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการบูรณาการ ESG ในทุกขั้นตอนของการลงทุน ดังนั้นการมีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับข้อบังคับของยุโรปด้านความยั่งยืน จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเราซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนในการเติบโตร่วมกันต่อไป"
นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวถึง GDP ของไทยในไตรมาส 1 ขยายตัว 1.5% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของภาคท่องเที่ยว นอกจากนี้ภาครัฐยังชูวิสัยทัศน์ Ignite Thailand เพื่อผลักดัน 8 อุตสาหกรรมเป้าหมายให้ไทยเป็นฮับของภูมิภาค เร่งส่งเสริมการเจรจาเขตการค้าเสรี (Free Trade Area - FTA) ไทย-อียู ให้แล้วเสร็จภายในปี 68 รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนในไทยผ่านหน่วยงานต่างๆ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI (Board of Investment) ออกมาตรการการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% นาน 5 ปี, การยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักร เป็นต้น
ดร. ฟิลิปโป คอร์ซินี ศาสตราจารย์ด้านการจัดการความยั่งยืนจากสถาบัน Scuola Superiore Sant'Anna ให้ความเห็นว่าภาคธุรกิจมีความสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยนโยบายสำคัญของสหภาพยุโรป ได้แก่ European Green Deal ที่ตั้งเป้าบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 และลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030 นอกจากนี้ยังตระหนักถึงความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์และการผลิตที่ยั่งยืน อาทิ สิ่งทอ, บรรจุภัณฑ์, อาหาร เป็นต้น
นายธวัชชัย เศรษฐจินดา รองประธานหอการค้าไทย ให้ข้อมูลว่าสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้เน้นย้ำถึงการสานต่อ MOU ระหว่างสภาหอการค้าไทยและสภาหอการค้าอิตาลี (Unioncamere: the Italian Union of Chambers of Commerce, Industry, Crafts and Agriculture) เพื่อผลักดันธุรกิจระดับ SME โดยเฉพาะด้านอาหาร, แฟชั่น (ผ้าไหม), ไลฟ์สไตล์ (เซรามิกและเฟอร์นิเจอร์) สู่ตลาดสากล
สำหรับการประชุมในปีนี้ นักธุรกิจตัวแทนทั้งจากประเทศไทยและอิตาลีได้นำเสนอ ข้อมูลด้านนโยบายและแผนงานด้านธุรกิจของบริษัทให้กับสมาชิก เพื่อต่อยอดโอกาสการค้าการลงทุนร่วมกัน อาทิ
กลุ่มเซ็นทรัล : ห้างรีนาเชนเต สาขาฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ติดอันท็อปเทน ห้างสรรพสินค้าไฮเอนด์ที่ดีที่สุดในโลกในปี 2565 ปัจจุบันรีนาเชนเตมีทั้งหมด 9 สาขา ใน 8 เมือง อาทิ โรม มิลาน ฟลอเรนซ์ ตูริน เป็นต้น และยังครองอันดับ 1 ด้าน Online Store และ On Demand Chat & Shop โดยมีผู้ใช้บริการมากกว่า 20 ล้านคน มีแบรนด์สินค้าภายในห้างกว่า 3,600 แบรนด์ นอกจากนี้ยังส่งเสริมสินค้าภูมิปัญญาไทยด้วยการนำกระเป๋า เครื่องแต่งกายที่ผลิตจากผ้าขาวม้าไทยมาจำหน่ายในห้างรีนาเชนเตอีกด้วย ทั้งนี้ในปลายปี 67 เตรียมเผยโฉมใหม่ห้างเซ็นทรัล สาขาชิดลม ประเทศไทย อย่างเต็มรูปแบบ ในคอนเซ็ปต์ The Store of Bangkok ด้วยงบลงทุนกว่า 4 พันล้านบาท
รวมทั้งกลุ่มเซ็นทรัลยังมุ่งส่งเสริมงานศิลปะด้วยการนำผลงานของศิลปินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กลุ่มเซ็นทรัลให้การสนับสนุน จัดแสดงในงาน "เวนิส เบียนนาเล่" ครั้งที่ 60 เทศกาลศิลปะที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย
เกือบ 1 ทศวรรษของความสำเร็จในการประชุม "อิตาเลียน-ไทย บิสซิเนส ฟอรั่ม" ได้แสดงถึงเจตจำนงอันแรงกล้าของทั้งสองฝ่ายในการขยายศักยภาพความร่วมมือด้านการค้า-การลงทุนร่วมกัน โดยจากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยว่าประเทศไทยและอิตาลีมีมูลค่าการค้าในปี 66 รวม 5,062.15 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.32% แบ่งเป็น การส่งออกมูลค่า 2,098.42 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนำเข้า มูลค่า 2,963.73 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับการประชุมอิตาเลียน-ไทย บิสซิเนส ฟอรั่มในครั้งนี้ คณะกรรมการฝ่ายอิตาลีที่ได้เข้าร่วม 13 บริษัท ได้แก่ อิตาโมบิลิอาเร (Italmobiliare), อินเตซา ซานเปาโล (Intesa Sanpaolo), ซีไอเอส ซิซิลี (CIS Sicily & Unicitrus), ซีเอ็นเอช อินดัสเทรียล (CNH Industrial), เอเชีย แปซิฟิก เฟอเรโร่ (Asia Pacific Ferrero), คาวันญ่า กรุ๊ป (Cavagna Group), อินัลก้า ฟู้ด แอนด์ เบเวอเรจ - คีโมนีนี กรุ๊ป (Inalca Food & Beverage - Cremonini Group), ไซเปม (SAIPEM),วิตตอเรีย (Vittoria), ดาเนียลี (Danieli), พีเรลรี (Pirelli), ลีโอนาโด (Leonardo)
และผู้เข้าร่วมจากประเทศไทย รวม 16 บริษัท ได้แก่ กลุ่มเซ็นทรัล (Central Group), กลุ่มมิตรผล (Mitr Phol Group), ไทยวิวัฒน์ประกันภัย (Thaivivat Insurance), วัฒนไพศาล เอ็นยิเนียริ่ง (Vatana Phaisal Engineering Co.,Ltd.), ธนาคารกรุงเทพ (Bangkok Bank PCL.), หลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ (Merchant Partners Asset Management),เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SCG JWD), พิณสยาม (Pin Siam Co.,Ltd.), ไทยฮั้วยางพารา (Thai Hua Rubber PCL.), บริษัท แอ็ลไลด์ เม็ททัลส์ (ไทยแลนด์) จำกัด (Allied Metals (Thailand) Co., Ltd), ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (Thai Union Group PCL.), บุญรอดบริวเวอรี่ (Boon Rawd Brewery Co., Ltd.), กราฟีน ครีเอชั่นส์ (Graphene Creations Co.,Ltd.), ไทยซัมมิท โอโตพาร์ท อินดัสตรี (Thai Summit Autoparts Industry), โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (Global Power Synergy PCL.), อุตสาหกรรม ดีสวัสดิ์ (Deesawat Industries Co.,Ltd.) นอกจากนี้ยังมีผู้แทนภาครัฐ ได้แก่ เปาโล ดีโอนีซี (H.E. Mr. Paolo Dionisi) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย, เฟเดริโก้ คาร์ดินี่ (Mr. Federico Cardini) ประธานหอการค้าไทย-อิตาเลียน เข้าร่วมด้วย
การประชุมอิตาเลียน-ไทย บิสซิเนส ฟอรั่ม แสดงถึงโมเมนตัมการค้าและการลงทุนที่เป็นไปใน ทิศทางบวก เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสองประเทศให้เติบโตอย่างเข็มแข็งและยั่งยืน
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit