KKP ชี้เศรษฐกิจโลกยังโตต่อ แนะลงทุนเต็มอัตรา ควบคู่ลดความเสี่ยง

15 Jul 2024

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) จัดงานสัมมนา KKP 2024 Mid Year Outlook Seminar: Surfing a Sea of Opportunities Amid Geopolitical Tides โดยดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และนายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) พาสำรวจการเลือกตั้งและภาพรวมเศรษฐกิจโลก พร้อมแนะกลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2567

KKP ชี้เศรษฐกิจโลกยังโตต่อ แนะลงทุนเต็มอัตรา ควบคู่ลดความเสี่ยง

เศรษฐกิจโลกโตต่อ จับตาการเมืองสหรัฐฯ

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มโตต่อได้แม้ไม่ร้อนแรงเท่าปีที่แล้ว และการเติบโตยังขยายวงกว้างมากขึ้น นำโดยสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังน่าจะทยอยลดลงได้อีก ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจเรื่องอัตราเงินเฟ้อให้กับ FED โดย KKP ยังคงคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยได้ 1-2 ครั้งในครึ่งหลังปี 2567 นี้ ขณะที่ยุโรปสามารถรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นแม้จะไม่สดใสเท่าสหรัฐฯ และเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงได้เช่นกัน นอกจากนี้ ในฝั่งประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ไม่รวมประเทศจีน (Emerging Markets ex China) ก็มีแนวโน้มที่เติบโตได้ดี ถึงมีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่อาจลงช้ากว่าคาด แต่น่าจะลดลงได้

ในขณะที่ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลดลง แต่ประเด็นที่ต้องจับตาใกล้ชิดในช่วงครึ่งปีหลังคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำมาซึ่งความไม่แน่นอนทั้งในแง่ของนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในมิติของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ที่จีนจะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเศรษฐกิจจีนยังได้รับผลกระทบจากปัญหาภายในที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ว่าภาคอสังหาฯ ที่ซบเซา ความเชื่อมั่นในการบริโภคที่ยังไม่ฟื้น และการขาดมาตรการกระตุ้น เมื่อประกอบกับความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้าหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แนวโน้มตลาดหุ้นจีนจึงยังไม่น่าสนใจ

แนะลงทุนเต็มอัตราควบคู่จำกัดความเสี่ยง (Grow-Protect)

นายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บล.เกียรตินาคินภัทร ให้มุมมองว่าการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกยังไปต่อได้ แต่ด้วยความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เพิ่มขึ้นและคาดเดาได้ยาก บล.เกียรตินาคินภัทรจึงแนะนำว่านักลงทุนควรจัดสรรการลงทุนอย่างรอบคอบ เน้นหุ้นคุณภาพสูง และการกระจายการลงทุนในพอร์ต โดยมีการลงทุนทั้งแบบเชิงรุก (Grow) และแบบจำกัดความเสี่ยง (Protect) ควบคู่กัน

สำหรับการลงทุนเชิงรุก (Grow) หุ้นที่น่าสนใจคือ หุ้นกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจ(Cyclical growth) ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ไม่รวมประเทศจีน (Emerging Markets ex China) เนื่องจากวงจรเศรษฐกิจเอื้ออำนวยและโมเมนตัมกำไรแข็งแกร่ง และกลุ่มธุรกิจการเงิน (Financials) เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมและคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มดีขึ้น ส่วนกลุ่มที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาวคือ หุ้นอินเดีย และกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวโยงกับห่วงโซ่อุปทานของ AI (AI Value Chain) นอกเหนือจากเซมิคอนดักเตอร์  เนื่องจากการลงทุนด้าน AI ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ

ส่วนการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Protect) แนะนำลงทุนในตราสารหนี้โลกคุณภาพดีเพราะให้ผลตอบแทน (yield) สูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ แต่จำกัดความเสี่ยงจากความผันผวนของ yield โดยเน้นการลงทุนที่อายุ 3-5 ปี นอกจากนั้น เนื่องจากความเสี่ยงยังไม่ถูกสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นในตลาดทั้งหมด จึงควรลงทุนในอนุพันธ์ที่ป้องกันเงินต้น แต่ยังเปิดช่องให้รับ Upside อาทิ Principal Protected Note on S&P 500 Index หรือ Principal Protected Note on Dollar Index

สำหรับการลงทุนแบบผสมผสาน (Grow/Protect) แนะนำการจัดสรรพอร์ตแบบ Prudent Asset Allocation และลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะทนทานที่สุดในกรณีที่มีสงครามการค้า นอกจากนั้น ธุรกิจที่มีลักษณะตั้งรับในตัวอย่างธุรกิจ สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน ก็น่าสนใจ เพราะมีความทนทานต่อผลกระทบในทางลบ แต่ยังสามารถได้ประโยชน์จากพัฒนาการของ AI เช่นความต้องการใช้พลังงานที่มากขึ้นจาก data center

ตีม AI ยังไปต่อได้อีกระยะหนึ่ง

การลงทุนในหุ้นกลุ่ม AI  ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อได้อีก เนื่องจากการลงทุนพัฒนายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังมีศักยภาพรอนำไปใช้ โดยจะได้เห็นการขยายการใช้งานไปยังกลางน้ำ-ปลายน้ำของห่วงโซ่อุปทานของ AI (AI Value Chain) ด้านการประเมินมูลค่าหุ้นไม่ถือว่าราคาถูกแต่ยังไม่แพงจนถึงระดับฟองสบู่

ลงทุนต่างประเทศแบบ unhedged

สำหรับการลงทุนต่างประเทศ ความผันผวนของ Forex (Foreign Exchange) สูงในระยะสั้นแต่ระยะยาวไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลตอบแทน ประกอบกับต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (hedging cost) ที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นการลงทุนต่างประเทศโดยเป็นแบบเปิดรับความเสี่ยงค่าเงิน (unhedged) จึงน่าจะทำให้ได้ผลตอบแทนในระดับสูงในต่างประเทศอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย บล.เกียรตินาคินภัทรคาดว่า hedging cost USD/THB จะมีแนวโน้มแพงไปอย่างน้อยอีก 2-3 ปี เนื่องจากปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่ด้อยลงและเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ค่อนข้างแข็งแกร่งจะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเทียบกับสหรัฐฯน่าจะอยู่ในช่วง 2-3%  

ทั้งนี้ แนะนำลงทุนในกองทุนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ Grow and Protect ได้แก่ Mandate Service ของ KKP หรือกองทุน KKP-SGAA* กองทุน TUSFIN-A และกองทุน KKP EMXCN-UH*

คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้าเงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน หรือติดต่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บลจ.ที่ออกกองทุนรวม

KKP-SGAA*: https://am.kkpfg.com/th/mutual-fund/kkp-sg-aa  

TUSFIN-A: https://www.krungsrisecurities.com/ifund/main/fund_information/825cc4f3-6166-401f-9364-00634f4b713d  

KKP EMXCN-UH*: https://bank.kkpfg.com/en/personal-banking/investment/fund/kkp-emxcn-h

*กองทุนนี้บริหารจัดการโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร