อาหารเหลือทิ้ง กลายเป็นปัญหาขยะอาหาร (Food waste) กองโตที่สะสมไว้ให้กับโลกของเรา ซึ่งจากการสำรวจองค์ประกอบขยะมูลฝอย โดยกรมควบคุมมลพิษ ณ สถานที่กำจัดขยะมูลฝอย เมื่อปี 2564 พบสัดส่วนของขยะอาหารมีมากถึงร้อยละ 39 คิดเป็นปริมาณ 9.68 ล้านตันต่อปี หรือประชากร 1 คน ผลิตขยะอาหาร 146 กิโลกรัมต่อคนต่อปี โดยสาเหตุหนึ่งมาจากไม่มีการคัดแยกตั้งแต่ต้นทางทำให้ปะปนกับขยะทั่วไป ไม่สามารถบริหารจัดการแยกกำจัดได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บ่อขยะเกิดกลิ่นเหม็น เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค ทำให้ไม่สามารถนำขยะไปรีไซเคิลหรือใช้ประโยชน์ต่อได้ เป็นภาระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการต้องจ่ายค่ากำจัดเป็นจำนวนมาก ทำให้งบประมาณส่วนนี้อาจจะไม่เพียงพอที่จะใช้บริหารจัดการขยะให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากจากบ่อขยะ ดังนั้นหากการจัดการขยะอาหารไม่ถูกวิธีจะส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะขยะอาหารอาจก่อให้เกิดก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า
ด้วยเหตุนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) มีความกังวลต่อปัญหาขยะอาหารจึงกำหนดให้การลดขยะอาหารเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs: เป้าหมายย่อย 12.3) โดยให้ทั่วโลกลดขยะอาหารลงครึ่งหนึ่งในระดับค้าปลีกและผู้บริโภค ภายในปี 2573 จะเห็นได้ว่าปัญหาขยะอาหารที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่กลับตรงกันข้าม เพราะปัญหาขยะอาหารกำลังคุกคามโลกของเราให้ร้อนระอุมากขึ้น
กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ระบุว่า ได้เร่งประสานหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการตามแผนปฏิบัติด้านการจัดการขยะอาหาร ระยะที่ 1 (ปี 2566 - 2570) โดยตั้งเป้าหมายลดสัดส่วนของขยะอาหารในขยะมูลฝอยชุมชนจากร้อยละ 39 ลงเหลือไม่เกินร้อยละ 28 ภายในปี 2570 ภายใต้มาตรการที่มุ่งเน้นการลดหรือทิ้งให้น้อยลงในกลุ่มผู้จำหน่าย ผู้ประกอบอาหาร ผู้บริโภค ครอบคลุม การจัดซื้อและขนส่งอาหาร การประกอบอาหาร การจำหน่ายอาหาร การเก็บรักษาอาหาร และการบริโภค ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดขยะอาหารน้อยลง ลดการตกค้างของขยะที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค ลดมลพิษจากขยะ รวมถึงลดการปล่อยก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กรมควบคุมมลพิษ ดำเนินงานเชิงรุกเพื่อให้ขยะอาหารลดลงตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยการขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการบริโภคอย่างยั่งยืน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการป้องกันและลดขยะอาหารของผู้ซื้อและผู้บริโภค ป้องกันให้เริ่มวางแผนก่อนซื้อ และซื้อเท่าที่จำเป็น ก่อนนำมาประกอบอาหารให้พอดีกับจำนวนสมาชิกในบ้าน รวมถึงวางแผนเมนูอาหารที่จะทำในแต่ละสัปดาห์ และจัดเก็บอาหารให้เหมาะสม รวมถึงพัฒนากลไกในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะอาหารมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เหลือขยะอาหารที่ต้องกำจัดน้อยที่สุด ขณะเดียวกันประชาชนยังสามารถช่วยกันลดขยะอาหารได้อีกทางด้วยการบริโภคอาหารแต่พอดี รู้จักถนอมอาหาร หรือนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ เช่น ผลิตปุ๋ยหมัก นำไปเลี้ยงสัตว์ หรือแปรสภาพเป็นก๊าซชีวภาพ เป็นต้น ส่วนการทิ้งขยะอาหาร ควรคัดแยกออกจากขยะทั่วไปเพื่อไม่ให้ขยะมีกลิ่นเหม็นและจัดการได้ยาก
อย่าปล่อยให้ขยะอาหารในมือเรา กลายเป็นมลพิษสะสมอีกต่อไป มาเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยคัดแยกขยะอาหารออกจากขยะทั่วไปตั้งแต่ต้นทางทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน หรือที่อื่น ๆ ก็ถือว่าได้เป็นอีกหนึ่งแรงพลังที่ช่วยลดขยะอาหารไม่ให้ปนเปื้อนกับขยะอื่น ๆ แถมยังได้ช่วยเซฟโลกของเราไม่ให้ร้อนมากไปกว่าเดิมอีกด้วย
HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit