ความกังวลทางสภาพภูมิอากาศส่งผลให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electronic vehicle - EV) รวมถึงห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นจากทั้งผู้บริโภค รัฐบาล บริษัท และนักลงทุน แม้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังเกิดขึ้นได้ไม่นาน โดยคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 2% ของยอดขายรวมทั่วโลก รายงานผลการการศึกษาของ EY-Parthenon ได้ประมาณการยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าใน 6 ประเทศกลุ่มอาเซียน (ASEAN-6) ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ว่าจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) อยู่ที่ 16%-39% ระหว่างปี 2564 ถึง 2578 และคาดว่าจะมีโอกาสในการสร้างยอดขายต่อปีสูงถึง 80,000-100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 โดยคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าหลักทั้งสามกลุ่ม ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และยานพาหนะสองหรือสามล้อ
ความท้าทายหลักในการผลักดันให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าใน ASEAN-6 ได้แก่ ต้นทุน ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานของรถยนต์ไฟฟ้า โดยในประเทศไทย ความพร้อมโดยรวมในการใช้รถ EV สูงเป็นอันดับสองรองจากสิงคโปร์ อันเนื่องมาจากการรับรู้และการยอมรับของตลาดต่อรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาโครงข่ายสถานีชาร์จและการเพิ่มศูนย์การวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลผ่านนโยบายและการให้สิ่งจูงใจเพื่อสร้างความพร้อมในการใช้งานโครงสร้างพื้นฐาน
ปรีชา อรุณนารา หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี อีวาย ประเทศไทย กล่าวว่า "แม้ว่าที่ผ่านมา การใช้รถยนต์ไฟฟ้าของประเทศในกลุ่ม ASEAN-6 ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แต่ความกังวลของสังคมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของนโยบายและทัศนคติของผู้บริโภคต่อรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งจูงใจทางการเงินที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ถูกนำมาใช้ในประเทศเหล่านี้ ควบคู่ไปกับโครงการและนโยบายระดับชาติต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความยั่งยืนและลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่ง
ในปัจจุบัน ตลาดประเทศ ASEAN-6 มีการเปลี่ยนยานพาหนะสองหรือสามล้อเป็นยานยนต์ไฟฟ้าเร็วที่สุด เนื่องจากจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ และรถจักรยานยนต์มีราคาไม่สูงมาก และพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จรถแบบพิเศษน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ฐานะที่ร่ำรวยมากขึ้นของผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นในอนาคต"
นอกจากนี้ รายงานผลการศึกษายังพบว่า ปริมาณการขายรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้ง 6 ประเทศอาจสูงถึง 8.5 ล้านคันในปี 2578 โดยคาดว่าประเทศไทยจะมีปริมาณการขายมากเป็นอันดับสอง จากประมาณการยอดขายต่อปีที่ 2.5 ล้านคัน คิดเป็นมูลค่าการขายราว 35,000-42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2578 โดยตามหลังอินโดนีเซีย ซึ่งอัตราการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 50% ในประเทศขับเคลื่อนโดยรถไฟฟ้าสองล้อเป็นหลัก (ปริมาณการขายโดยประมาณ 4.5 ล้านคัน และมูลค่าการขาย 26,000-30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
การผลิตยานยนต์ การขายปลีก และตลาดหลังการขาย; วัตถุดิบและการแปรรูป; การผลิต การประกอบ และการรีไซเคิลแบตเตอรี่เป็นกลุ่มมูลค่าสำคัญในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า
คาดการณ์การเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับผู้เล่นปัจจุบันในตลาดและผู้เล่นรายใหม่ที่ต้องการก้าวเข้ามาเพื่อขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโอกาสดังกล่าวครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าแบบ End-to-end ตั้งแต่การแปรรูปวัตถุดิบไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้าและซอฟต์แวร์ โดย 6 กลุ่มมูลค่าหลักของธุรกิจนี้ประกอบด้วย: 1) วัตถุดิบและการแปรรูป 2) การผลิตพลังงาน 3) การผลิต การประกอบ และการรีไซเคิลแบตเตอรี่ 4) การผลิตยานยนต์ การขายปลีก และตลาดหลังการขาย 5) โครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จไฟฟ้า และ 6) ซอฟต์แวร์การจัดการการชาร์จไฟฟ้า
การผลิตรถยนต์ การค้าปลีก และตลาดหลังการขาย ถือเป็นโอกาสที่ใหญ่ที่สุดในบรรดา 6 กลุ่ม โดยคาดว่าจะมีมูลค่าคิดเป็น 69% ของมูลค่าระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดของภูมิภาคที่ 80,000-100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2578 ส่วนวัตถุดิบและการแปรรูป รวมถึงการผลิต การประกอบ และการรีไซเคิลแบตเตอรี่คาดว่าจะมีมูลค่าคิดเป็น 9% และ 11% ของมูลค่าทั้งหมด ตามลำดับ
"ตลาด ASEAN-6 มีจุดแข็งและความสามารถหลักที่ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีนิกเกิลและทองแดง ซึ่งเป็นโลหะสำคัญสองชนิดในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากและสามารถนำไปใช้เพื่อเร่งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้
ด้านกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จไฟฟ้าและซอฟต์แวร์การจัดการการชาร์จไฟฟ้า ก็ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนในภูมิภาค โดยใช้เงินลงทุนน้อยกว่าและมีศักยภาพที่จะทำกำไรได้มาก นอกเหนือจากความสามารถในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ความพร้อมใช้งานและความสะดวกในการใช้งานของสถานีชาร์จไฟฟ้าก็มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภค เพราะอุปสรรคอย่างหนึ่งในการตัดสินใจใช้รถยนต์ไฟฟ้าคือการไม่มีสถานีชาร์จเพียงพอ อย่างไรก็ตาม เราเริ่มเห็นการให้สิ่งจูงใจที่ช่วยสนับสนุนการสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในตลาดแต่ละประเทศ" ปรีชา กล่าวเพิ่มเติม
4 กลยุทธ์สำหรับผู้เล่นในตลาด EV ที่จะประสบความสำเร็จใน ASEAN-6
เนื่องจากตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ยังค่อนข้างใหม่และมีการใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้เล่นรายเดิมในอุตสาหกรรม รวมถึงบริษัทสตาร์ทอัพใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่า โดยรายงานผลการศึกษาของ EY-Parthenon ได้เน้นย้ำถึง 4 ปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการซึ่งต้องการประสบความสำเร็จในห่วงโซ่คุณค่าของรถยนต์ไฟฟ้าใน ASEAN-6 ควรนำมาพิจารณา ได้แก่:
ปรีชา สรุปว่า "เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่มีตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอยู่มานานกว่า ประเทศกลุ่ม ASEAN-6 อาจเป็นตลาดที่สามารถทำกำไรและมีศักยภาพในการเติบโตสูงจากข้อได้เปรียบหลายประการ รวมถึงการมีสำรองวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ กำลังการผลิตที่มีเพื่อการผลิตรถยนต์ และสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ทั้งหมดนี้ล้วนน่าสนใจสำหรับนักลงทุน อย่างไรก็ตาม การจะประสบความสำเร็จได้นั้น นักลงทุนจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับตลาดท้องถิ่น กลุ่มมูลค่าที่มีอยู่ ตลอดจนการดำเนินงานที่มีอยู่ภายในห่วงโซ่คุณค่า สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือความมุ่งมั่นในระยะยาว วิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่ชัดเจน"
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit