บลจ.ทิสโก้จัดกองทุนคุณภาพเอาใจลูกค้า หนุนสินทรัพย์ภายใต้การบริหารโตเด่น ปลื้ม ! เป็นตัวจริงกองทุนหุ้นไทย หลังคว้ารางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยมประเภทกองทุนหุ้นในประเทศจาก Morningstar 2 ปีซ้อน พร้อมเปิดกลยุทธ์ลงทุนครึ่งปีหลัง แนะซื้อกองทุนหุ้นไทยที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศ และการท่องเที่ยว ส่วนต่างประเทศแนะนำ กองทุนหุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ หุ้นปันผล และตราสารหนี้สหรัฐฯ
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan Deputy Managing Director of TISCOASSET) เปิดเผยว่า ในปี 2566 สถานการณ์การลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงมีความไม่แน่นอน และมีความผันผวนสูง ทั้งปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยที่อาจจะเกิดขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนรวมโดยภาพรวม อย่างไรก็ตามธุรกิจกองทุนรวม และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของบลจ.ทิสโก้ยังคงมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการออกกองทุนใหม่ๆ ที่ครอบคลุมหลากหลายนโยบายการลงทุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนักลงทุนในสภาวะการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการเน้นจับจังหวะในการออกกองประเภททริกเกอร์ฟันด์มากขึ้น
โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 บลจ.ทิสโก้มีกองทุนรวมภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้น 160 กองทุน แบ่งเป็น กองทุนเปิด (Open-end Fund) 91 กองทุน กลุ่มกองทุนเพื่อการออมเงินระยะยาว ได้แก่ กองทุน SSF RMF LTF และ RMF for PVD จำนวน 60 กองทุน กองทุนทริกเกอร์ 9 กองทุน มูลค่า AUM 54,654 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 ที่มี AUM อยู่ที่ 53,696 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลมีมูลค่า AUM อยู่ที่ 72,844 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 ที่มี AUM อยู่ที่ 72,717 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเติบโตของ AUM นอกจากจะเป็นผลของการเสนอขายกองทุนใหม่แล้ว ยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่ราคาหน่วยลงทุนของแต่ละกองทุนปรับตัวดีขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะกองทุนหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลงในปีที่ผ่านมาเริ่มกลับมาฟื้นตัวในปีนี้ ขณะที่กองทุนหุ้นไทยที่บริหารจัดการโดย บลจ.ทิสโก้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและโดดเด่น สะท้อนจากกองทุนหุ้นไทยกว่า 80% ของบลจ.ทิสโก้ได้รับการจัดอันดับ 4-5 ดาวจาก Morningstar Thailand (* ข้อมูลการจัดอันดับ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 สามารถดูข้อมูลการจัดอันดับได้ที่ www.morningstarthailand.com) ส่งผลให้บลจ.ทิสโก้ได้รับรางวัลบริษัทจัดการกองทุนยอดเยี่ยม ประเภทกองทุนหุ้นในประเทศ (Best Fund House Winner : Best Domestic Equity House) จากการประกาศผลรางวัล Morningstar Awards 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
นายสาห์รัชกล่าวว่า สำหรับกองทุนแนะนำครึ่งปีหลังนั้น ในส่วนของหุ้นไทยแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวหุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสฟื้นตัวเร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่น และกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว
ส่วนกองทุนต่างประเทศแนะนำลงทุนในกองทุนหุ้นจีน กองทุนหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ กองทุนหุ้นปันผล และกองทุนตราสารหนี้สหรัฐฯ
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Supongvorn Mianpoka Head Of Asset Management - Investment) เปิดเผยว่า สำหรับมุมมองการลงทุนหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นโดยมีเป้าหมายดัชนีที่ 1,600 จุด แรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ลดลงอยู่ในระดับต่ำ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในปีนี้จะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ 3.3% แต่ยังคงต้องจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีและนโยบายของรัฐบาลใหม่ ซึ่งราคาหุ้นแต่ละอุตสาหกรรมจะปรับตัวเพื่อสะท้อนผลกระทบด้านบวกและลบจากนโยบายที่ออกมา นอกจากนี้ ยังต้องติดตามผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่จะมีผลโดยตรงต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย
จากปัจจัยดังกล่าว จึงมองว่าการลงทุนหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ควรเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการท่องเที่ยว เช่น โรงพยาบาล ค้าปลีก และท่องเที่ยว และกลุ่มที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้วตั้งแต่ต้นปีและราคาได้สะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว เช่น ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ เป็นต้น
สำหรับการลงทุนต่างประเทศ บลจ.ทิสโก้มองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยังมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมวันที่ 13 - 14 มิถุนายนนี้ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงในระยะสั้น เป็นโอกาสในการทยอยลงทุนหุ้นต่างประเทศเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ หุ้นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของเงินปันผล (Dividend Growth) เพราะราคาหุ้นที่ยังเหมาะสมและมีความเสี่ยงต่อภาวะการชะลอตัวได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ
ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยังคงมีความน่าสนใจจากความแข็งแกร่งของบริษัทและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับ AI ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เริ่มมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และเริ่มมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นจีนจากระดับ มูลค่าหุ้น (Valuation) ที่น่าสนใจ
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ 02-633-6000 กด 4/02-080-6000 กด 4/ www.tiscoasset.com/ TISCO My Funds
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit