เทศกาลไหว้พระจันทร์ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นเทศกาลที่ชาวจีนเฉลิมฉลองกันมานานหลายพันปี โดยถือเป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวจะได้มาพบปะสังสรรค์กัน ชมพระจันทร์เต็มดวงด้วยกัน และรับประทานขนมไหว้พระจันทร์แสนอร่อยด้วยกัน
เทศกาลอันเก่าแก่นี้ชวนให้ชาวจีนคิดถึงบ้านเกิดและเรื่องราวในอดีต รวมถึงความผูกพันอันลึกซึ้งที่มีต่อประเทศชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เฉกเช่นเดียวกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำจีน เขาได้รำลึกถึงความทรงจำในอดีตหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อประเทศชาติและประชาชน
นายสี จิ้นผิง ถือว่าหลายสถานที่ที่เขาเคยทำงานล้วนเป็น "บ้านเกิดเมืองนอน" ของเขา ตั้งแต่อำเภอฟูผิง (Fuping) และหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ (Liangjiahe) ในมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน อำเภอเจิ้งติง (Zhengding) ในมณฑลเหอเป่ยทางตอนเหนือของจีน ไปจนถึงมณฑลฝูเจี้ยน มณฑลเจ้อเจียง นครเซี่ยงไฮ้ และกรุงปักกิ่ง
"รำลึกถึงหมายความว่าคิดถึงสถานที่นั้นเมื่อจากไป"
ในระหว่างการเยือนประเทศคอสตาริกาอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2556 นายสี จิ้นผิง ได้เยี่ยมเยือนบ้านของเกษตรกรครอบครัวหนึ่ง และบอกเล่าเรื่องราวสมัยที่เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ
"ท่านประธานาธิบดีพูดอย่างมีความสุขและภาคภูมิใจที่ได้เป็นเกษตรกร บางคนอาจด้อยค่าอาชีพนี้ แต่ท่านไม่ทำ ท่านกลับให้ความสำคัญด้วย" บุตรชายของเกษตรกรชาวคอสตาริกา กล่าว
ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 2500 นายสี จิ้นผิง ได้เดินทางออกจากกรุงปักกิ่งมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในพื้นที่แห้งแล้งของมณฑลส่านซีเพื่อใช้แรงงานในชนบท เขาใช้เวลา 7 ปีในหมู่บ้านแห่งนี้ โดยทำงานและใช้ชีวิตร่วมกับเกษตรกร
เขาต้องแยกจากครอบครัว นอนอยู่ในถ้ำเก่า ถูกเห็บหมัดกัด และทำงานหนักเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ในการดูแลพืชผล ต้อนแกะ ขนปุ๋ยคอกและถ่านหิน
ก่อนออกจากหมู่บ้านเหลียงเจียเหอ นายสี จิ้นผิง ได้ขอบคุณชาวบ้านที่ต้อนรับและช่วยเหลือเขาอย่างไม่เห็นแก่ตนเอง "ผมจะไม่มีวันลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่หมู่บ้านเหลียงเจียเหอมอบให้กับผม" เขากล่าว
นายสี จิ้นผิง พูดถึงหมู่บ้านเหลียงเจียเหออยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นที่ลานเล็ก ๆ ของบ้านเกษตรกรในคอสตาริกา บนโพเดียมในรัฐวอชิงตันของสหรัฐอเมริกา หรือเวทีการประชุมระดับโลกว่าด้วยการบรรเทาความยากจนและการพัฒนา และการประชุมเสวนาระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาระดับโลก
ในฤดูใบไม้ผลิปี 2525 นายสี จิ้นผิง อาสาทำงานในระดับรากหญ้า และย้ายไปยังอำเภอเจิ้งติงอันยากไร้ในมณฑลเหอเป่ย
นับเป็นเวลานานกว่า 3 ปีที่เขาได้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการและต่อมาก็เป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำอำเภอเจิ้งติง เขาทำงานบุกเบิกมากมายร่วมกับคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนระดับท้องถิ่น ทั้งวางแผนกลยุทธ์และวางรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาอำเภอเจิ้งติง
ในระหว่างการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมณฑลเหอเป่ยเมื่อปี 2556 เขาได้หวนรำลึกถึงประสบการณ์ในอำเภอเจิ้งติง โดยเขาเข้าใจอย่างแท้จริงว่าชาวบ้านรู้สึกอย่างไรจากการ "อยู่ร่วมกัน พูดคุย คิด และทำงานร่วมกันทุกวัน"
ไม่ว่าเขาจะไปแห่งหนใด เขาทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความจริงใจและความเรียบง่ายเสมอ
"อย่าลบความรู้สึกที่แท้จริงเพียงเพราะระยะทางที่ห่างไกล อย่าลืมความรู้สึกที่แท้จริงเพียงเพราะชีวิตที่ยุ่งเหยิง และอย่าเพิกเฉยต่อความรู้สึกที่แท้จริงเพียงเพราะชีวิตที่เร่งรีบและวุ่นวาย" นายสี จิ้นผิง กล่าวเนื่องในเทศกาลตรุษจีนเมื่อปี 2560
"การได้เห็นสถานที่ที่เคยทำงานมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้รู้สึกมีความสุขที่สุด"
ในปี 2531 นายสี จิ้นผิง ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำเมืองหนิงเต๋อ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ยากจนที่สุดในมณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนในขณะนั้น โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ทำงานในพื้นที่ เขาได้เยี่ยมเยือน 123 ตำบลจากทั้งหมด 124 ตำบล รวมถึง 3 ใน 4 ตำบลที่ไม่มีถนนลาดยาง หนึ่งในนั้นคือตำบลเซี่ยตัง (Xiadang) ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ภูเขาของอำเภอโซ่วหนิง (Shouning)
เขาเยี่ยมเยือนตำบลเซี่ยตังถึงสามครั้ง และกำกับดูแลการบรรเทาความยากจนในตำบลอันห่างไกลแห่งนี้ด้วยตัวเอง
ในการเยือนตำบลเซี่ยตังครั้งแรก เขาใช้เวลานั่งรถประมาณ 3 ชั่วโมง และเดินเท้าอีก 2 ชั่วโมงไปตามเส้นทางบนภูเขาที่ขรุขระกว่าจะไปถึง
เขาตระหนักว่าการเข้าถึงพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก และการก่อสร้างทางหลวงก็เริ่มขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาลงพื้นที่ครั้งแรก หลังจากนั้นถนนเข้าสู่ตำบลเซี่ยตังก็เปิดใช้งานในเดือนมกราคม 2534
การเยือนครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2532 หลังเกิดอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบศตวรรษ นายสี จิ้นผิง ได้แสดงความเสียใจและจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ส่วนการเยือนครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2539 โดยมีเป้าหมายเพื่อกำกับดูแลงานบรรเทาความยากจน
ความพยายามในการบรรเทาความยากจนได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเมืองหนิงเต๋อ
ขณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมณฑลฝูเจี้ยนเมื่อเดือนมีนาคม 2564 นายสี จิ้นผิง ได้พบกับนักท่องเที่ยวหลายคนจากเมืองซ่างเหรา (Shangrao) มณฑลเจียงซี พวกเขากล่าวว่าใช้เวลาเพียง 22 นาทีในการนั่งรถไฟไปยังภูเขาอู่อี้ (Wuyi Mountain) ซึ่งเป็นรีสอร์ตฤดูร้อนชื่อดังในมณฑลฝูเจี้ยน
ครั้งหนึ่งนายสี จิ้นผิงเคยกล่าวไว้ว่า "การได้เห็นสถานที่ที่เคยทำงานมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้รู้สึกมีความสุขที่สุด"
นอกจากนี้ ในระหว่างงานเลี้ยงรับรองแขกบ้านแขกเมืองที่มาร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่นครหางโจว นายสี จิ้นผิง ได้แนะนำให้แขกไปเยี่ยมเยือนมณฑลเจ้อเจียงด้วย
"ผมเคยทำงานที่เจ้อเจียงหลายปี ปัจจุบันเจ้อเจียงมีการพัฒนาคุณภาพสูงอย่างรวดเร็ว ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปและเปิดกว้าง" นายสี จิ้นผิง กล่าว พร้อมเสริมว่าเจ้อเจียงกำลังสร้างเขตสาธิตเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกความทันสมัยแบบจีน
"งานของผมคือการรับใช้ประชาชน ภารกิจนี้เหน็ดเหนื่อยมาก แต่ก็ทำให้อิ่มเอมใจมากเช่นกัน" นายสี จิ้นผิง กล่าว ด้วยตระหนักดีว่าการปกครองประเทศใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยการทุ่มเททำงานหนักและความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง
https://news.cgtn.com/news/2023-09-29/Mid-Autumn-Festival-Xi-Jinping-s-nostalgia-1nuvERpxo52/index.html
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit