"ทรีนีตี้" ให้กรอบดัชนีเดือน ก.ย.ที่ 1,590-1,660 จุด มองตลาดในช่วงแรกยังมีโมเมนตัมเชิงบวก จากกระแสเงินทุนไหลเข้า จึงแนะนักลงทุนถือหุ้นในพอร์ตเพื่อ Let profit run และรอขายทำกำไร อย่างมีนัยสำคัญที่บริเวณ 1,650-1,660 จุด ส่วนการถือครอง โฟกัสไปที่หุ้นกลุ่ม Domestic play ขนาดใหญ่ 15 บริษัท รับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่กลับมาคึกคักมากขึ้น
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือน ก.ย.2564 ว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนจากกระแสเงินทุนไหลเข้า (Fund flow) ที่มีสัญญาณดีต่อเนื่อง รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในประเทศที่กลับมาคึกคักอีกครั้งจากการคลาย Lockdown ต่างๆ และอัตราการฉีดวัคซีนที่ดีขึ้น โดยมองกรอบดัชนีเดือน ก.ย.ทั้งเดือนที่ระดับ 1,590-1,660 จุด
"นักลงทุนที่มีเงินสดระดับหนึ่งแล้วให้ถือครองหุ้นในพอร์ตต่อไปได้และรอขายที่ระดับดัชนี 1,660 จุด มองว่าหากดัชนีปรับขึ้นไปถึงกรอบบน คาดว่าจะเห็นแรงเทขายออกมาอย่างสำคัญได้ เนื่องจากเป็นระดับที่จะทำให้ค่า Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยระยะยาวอีกครั้ง บ่งชี้ถึง Valuation ของตลาดหุ้นที่ตึงตัวและเปราะบางต่อการปรับฐานในระยะสั้น" นายณัฐชาต กล่าว
สำหรับธีมการลงทุนหลักในเดือนนี้ มองว่าหุ้นขนาดใหญ่ยังคงได้เปรียบกว่าหุ้นขนาดเล็ก ทั้งในแง่ของ Liquidity, Valuation, Sentiment และความ Laggard โดยได้คัดเลือกหุ้นขนาดใหญ่มาทั้งสิ้น 15 บริษัทที่มี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง และราคายังคงต่ำกว่าราคาปิดวันที่ 11 มิ.ย.ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของดัชนีในรอบก่อนหน้านี้ โดยแบ่งออกเป็น Sector ต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1.กลุ่มพลังงานกลางน้ำและปลายน้ำ เลือกหุ้น ESSO, PTG, SPRC 2.กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เลือกหุ้น BBL, KBANK, TTB 3.กลุ่มไฟแนนซ์เลือกหุ้น BAM, SAWAD, TIDLOR 4.กลุ่มค้าปลีกและห้างสรรพสินค้า เลือกหุ้น CPN, CRC 5.กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ เลือกหุ้น MAJOR, PLANB และ 6.กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง เลือกหุ้น STEC, TOA
ขณะที่หุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในเดือนนี้ คือกลุ่มที่อิงกับภาคการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ จากสัญญาณเตือนต่างๆ ที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดัชนีภาคการผลิตทั่วโลกที่อ่อนแรงลงต่อเนื่องโดยเฉพาะยอดคำสั่งซื้อใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหา Supply disruption เช่นการขาดแคลนชิป รวมถึงเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องจนอาจเริ่มส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในช่วงถัดไป รวมถึงหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ในการลงทุนเพราะปรับตัว Outperform มาตั้งแต่ช่วงเหตุการณ์ Covid-19 ปีก่อน และเริ่มเห็นสัญญาณ การอ่อนแรงของสภาพคล่องภายในประเทศ ผ่านตัวแปรปริมาณเงินหรือ M2 ที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการมีส่วนร่วมของนักลงทุนทั่วไปในตลาดได้ โดยที่นักลงทุนกลุ่มนี้ถือเป็นผู้ที่ คอยช่วยประคับประคองการปรับตัวของหุ้นขนาดกลาง-เล็ก มาก่อนหน้านี้
นายณัฐชาต กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนในเดือน ก.ย.ยังมีประเด็นและปัจจัยสำคัญที่นักลงทุน ยังต้องติดตามใน 4 ประเด็นหลักๆ ด้วยกันคือ 1. การประชุมร่วมของสมาชิกกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 1 ก.ย. โดยหลังจากที่ราคาน้ำมันยังทรงตัวได้ในระดับสูง น่าจะทำให้ทางกลุ่มสบายใจที่จะดำเนินตามมติที่ได้ตกลงกันก่อนหน้านี้ นั่นก็คือการเพิ่มกำลังผลิตเข้าสู่ตลาดวันละ 4 แสนบาร์เรล แต่ถ้าหากผลการประชุมเห็นควรให้ชะลอมาตรการดังกล่าวก็มีโอกาสที่จะเห็นราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นได้ 2. รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของประเทศสำคัญ ซึ่งจะเป็นปัจจัยชี้นำต่อมายังภาคการส่งออกในช่วงถัดไป โดยหลังจากที่จีนรายงานตัวเลขออกมาอ่อนแอก่อนหน้านี้แล้ว แนะนำติดตามตัวเลขของยุโรปและสหรัฐฯที่จะออกมาในช่วงต้นเดือนด้วยเช่นกัน 3. รายงานตัวเลขภาคแรงงานของสหรัฐฯ ในวันที่ 3 ก.ย.นี้ว่าจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังคาดการณ์ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในอนาคต รวมถึง Bond yield ในตลาดหรือไม่ และ4. ความเป็นไปได้ที่เฟด จะประกาศลดวงเงิน QE (Tapering) ในการประชุมวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ แต่ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปแล้วไม่ว่าเฟดจะเริ่มต้นโครงการเดือนไหน มองว่าคงจะไม่ใช่ประเด็นที่มีน้ำหนักต่อการลงทุนแล้ว
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติถึง 5 รางวัล จากงาน Best of the Best Awards 2025 ได้แก่ รางวัล Best Asset Management Company (30 Years), Best Asset Management Firm for Digital Marketing, Best Alternatives Manager, Best ESG Manager และ Best Multi-Asset Manager ทั้งนี้ รางวัลที่ บลจ.กสิกรไทย ได้รับทั้ง 5 สาขา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บลจ.กสิกรไทย ในการพัฒนาและนำเสนอบริการด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ครอบคลุมและมีคุณภาพ รวมถึงการปรับตัว
กรุงศรีเปิดตัวกองทุน KF-EMXCN โอกาสเติบโตไปพร้อมกับ Emerging Market
—
บลจ.กรุงศรี เปิดตัวกองทุนใหม่ KF-EMXCN ฝ่าความผันผวนจากสงครามการค้า ด้วยโอกาสลงทุนใน...
บล.เกียรตินาคินภัทร คว้า 2 รางวัลใหญ่ ด้านการบริหารพอร์ตและการลงทุนทางเลือกในประเทศไทยจาก Euromoney Private Banking Awards 2025
—
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรติ...
KGI เตรียมออก 3 DR ใหม่ โอกาสลงทุนหุ้นเทคจีนยักษ์ใหญ่ เทรด 17 เม.ย.นี้
—
KGI ปล่อย DR 3 หลักทรัพย์ใหม่ อ้างอิงหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่จากจีน ซึ่งมีศักยภาพการเติ...
KGI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ในรูปแบบ E-AGM ผู้ถือหุ้นไฟเขียวอนุมัติจ่ายปันผล 0.31 บาทต่อหุ้น
—
ดร.จื้อ-หง หลิน (ที่2 จากขวา) กรรมการอำนวยการ ...
SBITO โชว์เก๋า ครบรอบ 10 ปีดำเนินธุรกิจในไทย มั่นใจตลาดหุ้นไทยยังมีหุ้นดี
—
พร้อมชูแนวคิด SBITO Smart Investor Lifestyle เสริมศักยภาพนักลงทุน ด้วย SBITO I...
Pi Private Wealth ร่วมมือพันธมิตรจัดสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ "Health & Longevity: Unlocking the Future of Wellness"
—
Pi Private Wealth ร่วมมือพันธมิตรจัดสัม...
บลจ.ทิสโก้เปิดกอง TGOV7M10 กองทุนรวมตราสารหนี้ อายุ 7 เดือน
—
บลจ.ทิสโก้เปิดกองทุนเปิด ทิสโก้ พันธบัตรรัฐบาล 7 เดือน 10 (TGOV7M10) เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบ...
บลจ.กสิกรไทย ตอกย้ำ Trusted Asset Manager การบินไทย ไว้วางใจให้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
—
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่ง...