อัตราการเกิดโรคภูมิแพ้ในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่มลภาวะในอากาศ สารพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม จนถึงสารเคมีที่เจือปนอยู่ในอาหาร
โรคภูมิแพ้เกิดขึ้นได้กับหลายระบบของร่างกายเช่น ภูมิแพ้จมูกอักเสบ โรคหอบหืด ภูมิแพ้ผิวหนัง แพ้อาหาร เป็นต้น
โรคภูมิแพ้บางชนิดสามารถให้การรักษาได้ด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ ได้แก่โรคภูมิแพ้จมูกอักเสบ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ผิวหนังอะโทปิกที่มีอาการรุนแรงร่วมกับแพ้ไรฝุ่น การฉีดวัคซีนภูมิแพ้คือการฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้เข้าไปในร่างกายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ร่างกายมีความต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้นั้นและไม่เกิดการแพ้ในที่สุด ดังนั้นคนไข้ภูมิแพ้ที่สามารถให้การรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ได้นั้น ต้องมีการทดสอบยืนยันด้วยการทำทดสอบผิวหนังหรือการเจาะเลือด ว่ามีการแพ้สารก่อภูมิแพ้ในอากาศจริง ได้แก่ ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสัตว์เช่น ขนแมว ขนสุนัข เกสรหญ้า เมื่อพบว่าแพ้สิ่งใด จึงนำสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้นมาทำการฉีดเพื่อรักษา
การฉีดวัคซีนภูมิแพ้นั้นต้องใช้เวลานานและสม่ำเสมอ มีแนวทางในการฉีดหลายรูปแบบ แนวทางของโรงพยาบาลหัวเฉียวคือ แบ่งการรักษาเป็น 2 ช่วง ช่วงที่หนึ่งเป็นช่วงเพิ่มขนาดยา (induction) ใช้เวลา 3-6 เดือน แพทย์จะนัดฉีดยาสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ช่วงที่สองเป็นช่วงขนาดยาคงที่ (maintenance) แพทย์จะนัดฉีดยาทุก 4 สัปดาห์ ติดกันเป็นเวลา 3-5 ปี หลังหยุดฉีดวัคซีนภูมิแพ้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถทนต่อสารก่อภูมิแพ้ได้ดีขึ้น อาการภูมิแพ้จึงดีขึ้นด้วย การฉีดวัคซีนภูมิแพ้สามารถฉีดได้ในเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป จนถึงผู้ใหญ่ นอกจากนั้นในปัจจุบันได้มีวัคซีนภูมิแพ้แบบเป็นยาเม็ดรับประทานใช้สำหรับคนไข้ภูมิแพ้ที่แพ้ไรฝุ่นเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ซึ่งต้องทานยาติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปีเช่นกัน
สำหรับคนไข้ภูมิแพ้จมูกอักเสบหรือโรคหอบหืดที่ทดสอบทางภูมิแพ้แล้วพบว่าไม่ได้แพ้สารก่อภูมิแพ้ทางอากาศ (non alleric rhinitis, non allergic asthma) ไม่สามารถรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ได้
โรคภูมิแพ้กลุ่มอื่นๆ เช่น แพ้อาหาร ภูมิแพ้ผิวหนัง เช่นผื่นแพ้สัมผัส ปัจจุบันยังไม่สามารถให้การรักษาแบบฉีดวัคซีนภูมิแพ้ได้ อย่างไรก็ตามการแพ้อาหารบางชนิดสามารถให้การรักษาด้วยรับประทานได้ (oral immunotherapy)
การฉีดวัคซีนภูมิแพ้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการรักษาภูมิแพ้บางประเภท นอกจากการรักษาด้วยยาและการฉีดวัคซีนแล้ว ผู้ป่วยภูมิแพ้ควรดูแลร่างกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หลี่กเลี่ยงฝุ่น ควัน มลพิษต่างๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ พักผ่อนอย่างเพียงพอ
ปัจจุบัน ศูนย์แม่และเด็ก โรงพยาบาลหัวเฉียว มีทีมกุมารแพทย์เฉพาะทาง พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการและมีประสบการณ์ คอยดูแลและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ และยังมีบริการตรวจการนอนหลับในผู้ป่วยเด็กเพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
ข้อมูลดีๆ จาก.. แพทย์หญิงนวลนภา อนันตสิทธิ์ กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ศูนย์แม่และเด็ก โรงพยาบาลหัวเฉียว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit