นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาและส่งเสริมกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตร สู่ตลาดนำการเกษตร ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร และบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีมุ่งมั่นให้ภาคเกษตรมีความมั่นคง เกษตรกรมั่งคั่ง ทรัพยากรยั่งยืน จึงมุ่งเน้นการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน จึงเกิดนโยบายตลาดนำการเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีกรมส่งเสริมการเกษตรขับเคลื่อนการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ 6,926 แปลง ให้เกษตรกรเกิดความร่วมมือในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต่าง ๆ เพื่อความสมดุลทั้งการผลิตและการตลาด โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรสามารถผลิตได้ตามความต้องการของตลาด ส่งผลให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตเป็น ตลอดจนการผลิตสินค้าเกษตร สินค้าแปรรูป และสินค้าหัตถกรรมต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพและปลอดภัย ยกระดับเป็นสินค้าพรีเมี่ยม พร้อมเข้าสู่ทุกช่องทางการตลาดที่มีศักยภาพ ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิตอล ตอบโจทย์ตรงใจต่อความต้องการของผู้บริโภค นำไปสู่การเป็นภาคการเกษตรแบบครบวงจรที่เกษตรกรสามารถสร้างรายได้และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
และจากนโยบายตลาดนำการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรร่วมกับบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) มีแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายร่วมกัน มีความพร้อมสนับสนุน ช่วยเหลือพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมของเกษตรกรตั้งแต่ต้นทางถึงปลายปลาย ทั้งการผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่ม การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต และในด้านการตลาดที่จะช่วยเหลือเกษตรกรให้มีแหล่งรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนเกษตรกรทราบความต้องการของตลาด สามารถนำมาวางแผนการผลิตให้สอดคล้องทั้งคุณภาพและปริมาณ เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาผลผลิต มีรายได้และสร้างความมั่นคงทางอาชีพแก่เกษตรกร ตลอดจนผู้บริโภคได้เข้าถึงผลผลิตทางการเกษตร ทั้งผักและผลไม้ปลอดภัยจากกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ผ่านบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้กระจายสินค้าคุณภาพไปทั่วประเทศไทย
“นอกจากการให้ความสำคัญกับเกษตรแปลงใหญ่แล้ว กระทรวงเกษตรฯ ยังให้ความสำคัญกับพี่น้องเกษตรกรรายย่อยด้วย ซึ่งจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด โดยจะได้รับการดูแลจากภาครัฐเหมือนกัน มีการให้คำแนะนำและช่วยปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรให้มีความยังยืนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยมุ่งหวังที่จะสร้างพื้นฐานให้กับความมั่นคงให้กับอาชีพเกษตรกรรม เพื่อนำไปสู่การทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังตั้งเป้าให้ภาคการเกษตรของไทยสามารถเป็นครัวของโลก จึงต้องมีการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก เราจึงต้องร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร ซึ่งการลงนามในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นพันธมิตรที่จะช่วยกันพัฒนาภาคเกษตรกรรมต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินงานในระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน มีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ จำนวน 413,697 ครัวเรือน พื้นที่ 6,777,454 ไร่ จำนวนแปลงใหญ่ 6,926 แปลง สินค้าเกษตรประมาณ 90 รายการ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการกลุ่ม และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพ วางแผนการผลิต ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ มีการเชื่อมโยงกลุ่มผู้ผลิตกับตลาด ตามนโยบาย “การตลาดนำการเกษตร” ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่แน่นอน และสร้างความมั่นคงในอาชีพการเกษตร
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรขับเคลื่อนความร่วมมือในการเชื่อมโยงการทำงานด้านการผลิตและการตลาดกับบิ๊กซี ซึ่งได้มีการวางแผนดำเนินการร่วมกันอย่างต่อเนื่อง โดยบิ๊กซีได้รับซื้อแตงโม จากกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่แตงโม ต.แร่ อ.พังโคน จ.สกลนคร จำนวน 1,800 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 20 ล้านบาทต่อปี และสับปะรดบ้านคา จากแปลงใหญ่สับปะรดผลสด ต.บ้านบึง อ.บ้านคา จ.ราชบุรี จำนวน 439 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 7 ล้านบาทต่อปี และมีแผนจะดำเนินการรับซื้ออโวคาโด จากแปลงใหญ่อโวคาโด หมู่ 4 ต.รวมไทย อ.พบพระ จ.ตาก ในฤดูกาลถัดไปด้วย ซึ่งเป็นความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง และจะขยายผลต่อไปยังจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit