เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้นำด้านธุรกิจพลังงาน พลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับระยะเวลาสิ้นสุดไตรมาสที่ 3/2563 โดยเผยว่ามีกำไรสุทธิโดดเด่นจากการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู
ไตรมาส 3/2563 นี้บริษัทรับรู้รายได้ 360 ล้านบาท มากขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้ 296 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22% คิดเป็นกำไรสุทธิที่ 13.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าราว 200% ซึ่งผลกำไรสุทธิดังกล่าว เป็นความสำเร็จจากยอดขายก๊าซธรรมชาติที่กระเตื้องขึ้นจากช่วงโควิด-19 การรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้ามินบู ที่ได้ผลผลิตสูงกว่าที่คาดการณ์ใน ไตรมาสที่ 3 และการเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟเชิงพาณิชย์ และเริ่มขายไฟฟ้าจาก solar rooftop จำนวน 2.7 เมกะวัตต์
ที่ผ่านมา แม้สถานกาณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกภาคอุตสาหกรรม รวมถึงกระทบต่อธุรกิจด้านการขนส่งทำให้ความต้องการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติลดลง รวมถึงขาดการสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติจากภาครัฐ แต่บริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและเตรียมแผนรับมือได้อย่างทันท่วงที โดยหันมามุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งบริษัทมีประสบการณ์ความชำนาญมาอย่างยาวนาน
การลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนนี้ จะเป็นตัวช่วยเพิ่มสัดส่วนผลประกอบการให้สูงขึ้น เห็นได้จากโครงการ Solar Rooftop ที่ SCN เข้าลงทุนคือ บริษัท Scan Advance Power หรือ SAP เพื่อให้บริการด้านไฟฟ้ารูปแบบ Private PPA อย่างครบวงจร จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการสร้างผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตสูงขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา SAP ยังได้ร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชนร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการ 11 ราย กำลังการผลิตรวมเท่ากับ 6.58 เมกะวัตต์ ทำให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมกว่า 17 เมกะวัตต์ซึ่งภายในปลายปี 2563 นี้จะมีกำลังการผลิตรวมถึง 20 เมกะวัตต์ ตามเป้า
ด้านความคืบหน้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำลังการผลิตรวม 220 เมกะวัตต์ แบ่งออกเป็น 4 phases ขนาด 50 เมกะวัตต์สำหรับ phase 1-3 และ 70 เมกะวัตต์สำหรับ phase 4 นั้น เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้เริ่มดำเนินงานก่อสร้างโครงการ phase 2 แล้ว คาดว่าจะพร้อมจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ภายในปี 2564 และจะทยอยเริ่มงานก่อสร้าง phase 3 และ 4 ได้ต่อเนื่องตามเป้า ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของ SCN เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า "ปี 2563 ถือเป็นปีที่พิสูจน์ความสามารถของทุกคนทุกหน่วยงาน เราเจอมาทั้งเรื่องปัญหามลพิษทางอากาศ PM 2.5 โรคระบาดโควิด-19 นโยบายด้านพลังงานที่ไม่ชัดเจน ที่ต่างส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของเรา แต่ SCN ก็สามารถฝ่าฟันผ่านทุกวิกฤตมาได้ ซึ่งเราพอใจต่อผลการดำเนินงานที่สะท้อนออกมา เพราะบริษัทรักษามาตรฐานการดำเนินงานไว้ได้ ผลการดำเนินงานอยู่ในเป้าหมายที่วางไว้ รับมือปัญหาได้อย่างดี ฉะนั้นการเข้าลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจึงถือเป็นหนึ่งไฮไลต์สำคัญของเราในปีนี้ เสมือนเป็นโครงการพระเอกที่มาดึงให้ภาพรวมผลประกอบการน่าพอใจ ในอนาคต SCN พร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น"