“ไทยชนะ” เน้นใช้งานสะดวก ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

ศบค. เผยไอเดียการออกแบบแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เน้นให้ประชาชน/ร้านค้าเข้ามาใช้งานสะดวก ควบคู่ปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความมั่นใจไม่มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลแน่นอน เพราะวัตถุประสงค์ในการใช้งานมีเพียงหนึ่งเดียวคือ “การควบคุมโรคโควิด-19”

“ไทยชนะ” เน้นใช้งานสะดวก ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านสื่อสารโทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมแถลงข่าวของศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า แนวคิดหลักของ ศบค. ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เน้นให้กลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมายทั้งที่เป็นร้านค้า และประชาชนผู้ใช้บริการ เข้ามาใช้งานได้ง่ายภายในไม่กี่ขั้นตอน เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

ขั้นตอนการเข้ามาใช้งาน ในส่วนของร้านค้าหรือสถานประกอบการตามกิจการ/กิจกรรม ภายใต้มาตรการผ่อนปรน มีขั้นตอนดังนี้ 1.เข้ามาที่เว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com เพื่อลงทะเบียนร่วมมาตรการ social distancing 2.กรอกข้อมูลเกี่ยวกับกิจการ และข้อมูลผู้ติดต่อ พร้อมระบุตำแหน่งที่ตั้งของกิจการเพื่อระบบจะปักหมุดให้ในแผนที่กูเกิลแมป 3.ทำแบบประเมินสถานประกอบการ ซึ่งจัดแบ่งไว้ตามประเภท/หมวดกิจการที่ประกาศไว้ตามมาตรการผ่อนปรน (เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนและถูกต้อง จะได้รับรหัส OTP ทางเอสเอ็มเอสผ่านเบอร์โทรศัพท์ที่กรอกข้อมูลไว้ 4.กรอก OTP เพื่อยืนยันรายการ และ 5.เมื่อลงทะเบียนสำเร็จ สามารถดาวน์โหลดภาพใบรับรองการประเมินตามมาตรการ พร้อม QR Code เป็นไฟล์รูปภาพ (jpg) เพื่อนำมาติดไว้ให้ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการ check-in/checkout    

สำหรับประชาชน มีขั้นตอนการเช็คอินเพื่อเข้าไปใช้บริการ ดังนี้ 1.ใช้มือถือสแกน QR Code และกด Link ที่แสดงด้านบนเพื่อเข้าสู่หน้าเช็คอิน 2.กดที่เมนูเช็คอินร้าน 3.รับข้อตกลงและความยินยอม 4.ระบุหมายเลขโทรศัพท์ และ 5.หน้าจอจะแสดงคำว่า “เช็คอินแล้ว” ทั้งนี้ในขั้นตอน 3 และ 4 จะให้กรอกเฉพาะการเช็คอินในระบบของไทยชนะครั้งแรกเท่านั้น    

และเมื่อใช้บริการเสร็จ มีขั้นตอนการเช็คเอาท์ออกจากร้าน ดังนี้ 1.สแกน QR Code และกด Link ที่แสดงด้านบนเพื่อเข้าสู่หน้าเช็คเอาท์ 2.กดที่เมนูเช็คเอาท์/ประเมินผล 3.ระบุเบอร์โทรศัพท์ (เฉพาะครั้งแรกที่มีการเช็คเอาท์จากระบบของไทยชนะ)  4.หน้าจอจะแสดงคำว่า “เช็คเอาท์แล้ว” และ 5. ทำแบบประเมินหลังใช้บริการ โดยในข้อนี้ไม่บังคับ แต่เป็นข้อมูลที่ผู้ใช้บริการจะช่วยให้คะแนนร้านค้า เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการ 5 ข้อของกรมควบคุมโรค เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงบริการของร้านค้านั้นๆ ต่อไป    

นพ. พลวรรธน์ กล่าวย้ำว่า ประชาชนและร้านค้า ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลในการเข้าลงทะเบียนใช้งานแพลตฟอร์มไทยชนะ เนื่องจาก ศบค. พิจารณามอบหมายให้ กรมควบคุมโรคเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) และมอบหมายให้ธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ประมวลผลข้อมูลภายใต้การควบคุม ดังนั้น ผู้ประมวลผลก็ไม่สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากวัตถุประสงค์การควบคุมโรคโควิด-19 จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการส่งต่อข้อมูลไปให้หน่วยงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง    

“ส่วนกรอบเวลาจัดเก็บข้อมูล 60 วันนั้น เป็นการกำหนดตามข้อเสนอของกรมควบคุมโรคและแพทย์ เพื่อให้ทำการตรวจได้อย่างรอบคอบ เนื่องจากสาเหตุหนึ่งของการระบาด มาจากการติดเชื้อเพราะสัมผัสบุคคลใกล้ชิดที่เป็นโรคนี้ บางครั้งการติดไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่การสัมผัสครั้งแรก ที่ผ่านมาพบว่าบางรายติดเชื้อในครั้งที่ 3 โดยการฟักตัวของเชื้อโควิด-19 ใช้เวลาเฉลี่ย 14 วัน/รอบการสัมผัส จึงมองว่าควรเก็บข้อมูลไว้ทั้ง 3 รอบ และล่วงหน้าอีก 1 รอบ รวมระยะเวลา 56 วัน เพื่อให้มีฐานข้อมูลใหญ่พอที่จะสืบสวนโคย้อนหลังได้ 3 สัปดาห์ และสืบไปได้เพิ่มอีก 1 สัปดาห์” นพ.พลวรรธน์กล่าว    

นอกจากนี้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ยังเป็นประโยชน์ทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการ ทำให้สามารถได้รับการแจ้งเตือนหากพบความเสี่ยงในการติดเชื้อ, ประชาชนสามารถนำข้อมูลไปเป็นหลักฐานเพื่อประกอบการรับการตรวจคัดกรองทางห้องปฏิบัติการฟรี และสามารถตรวจสอบความเสี่ยงของสถานที่ให้บริการ โดยดูจากข้อมูลความหนาแน่นในช่วงเวลาที่ต้องการเข้าไปใช้บริการ รวมถึงคะแนนการประเมินจากผู้เข้าใช้บริการรายอื่นๆ ที่ทำการเช็คเอาท์แล้วนมา    

ขณะที่ ทางด้านร้านค้า/สถานปฏิบัติการที่ปฏิบัติตามมาตรการ ก็จะได้รับการรับรอง สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ และนำผลการประเมินมาปรับปรุงการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรการที่กำหนด

ปัจจุบัน ช่องทางการสื่อสารของไทยชนะ ประกอบด้วย เว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” และโทรสายด่วน  1119 ซึ่งมีไว้สำหรับการติดตามข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงตรงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล


ข่าวกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม+กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจวันนี้

สคส. จับมือ Meta เปิดตัว DPA Casework Channel ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ผนึกกำลัง Meta เปิดตัว DPA Casework Channel ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกละเมิด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในโลกออนไลน์ปัจจุบัน เพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับปัญหาข้อมูลรั่วไหล และเสริมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย ภายในงานมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสององค์กรเข้าร่วมประชุม ณ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อาทิ นายเธียรชัย ณ นคร ประธานกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมด้วยกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงค... นายกฯ แพทองธาร เผย ODOS Summer Camp พร้อมเปิดรับสมัคร 24 มี.ค.นี้ — นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงความคืบหน้าการดำเนินโครงการ ODOS Summer Camp โ...

(วันนี้) 25 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จ... 7 กระทรวง ร่วมลงนามความร่วมมือขับเคลื่อนงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ — (วันนี้) 25 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมน...

นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Produ... กรุงไทย รับมอบโล่เชิดชูเกียรติ "องค์กรต้นแบบ" ด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล — นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions ธนาคารกรุง...

ตามที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐม... สคส. เร่งติดตามกรณีผับดังบางใหญ่ ชี้ผู้เสียหายสามารถยื่นใช้สิทธิลบข้อมูลได้ — ตามที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล...