นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการประชุมเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการใช้ประโยชน์จากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมไปจัดวางเป็นปะการังเทียม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ โรงแรมบรรจงบุรี อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีนายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนคณะผู้บริหารในสังกัดกระทรวง ทส. คณะทำงานจากบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด อาจารย์และนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลชุมชนชายฝั่ง ประมงพาณิชย์ และผู้ประกอบการท่องเที่ยวและเดินเรือ เข้าร่วมประชุมจำนวนกว่า 600 คน
นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวภายหลังการเปิดการประชุมเครือข่ายว่า ตนได้ให้ความสนใจการใช้ประโยชน์จากขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมไปจัดวางเป็นปะการังเทียมและได้ติดตามการดำเนินงานโครงการนี้อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด นอกจากนี้ ตนได้หารือกับนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึง
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในการกำหนดแนวทางการศึกษาและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการดังกล่าว อีกทั้ง ได้จับมือร่วมกับบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และกลุ่มนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนได้ข้อสรุปและนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 โดยมีพลเอก ประวิตร
วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน และได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้จัดทำโครงการนำร่องการใช้ขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมจำนวน 7 ขาแท่น ไปจัดวางเป็นปะการังเทียมเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล บริเวณเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี (โครงการฯ) และได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการดังกล่าวร่วมกับบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด (เชฟรอนประเทศไทย) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุฬาฯ) เมื่อราวเดือนเมษายน พ.ศ. 2562 สำหรับการจัดงานในวันนี้ (22 กรกฎาคม 2563) เป็นการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ และเสริมสร้างความรู้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ท้องทะเลไทย อย่างไรก็ตาม การนำขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมจำนวน 7 ขาแท่นไปจัดวางเป็นปะการังเทียม จะช่วยเสริมศักยภาพด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและระบบนิเวศทางทะเล สร้างที่อยู่อาศัยและแหล่งหลบภัยของสิ่งมีชีวิตวัยอ่อน ซึ่งการนำขาแท่นหลุมผลิต มาใช้ทำปะการังเทียมนั้น มีการดำเนินการในหลายพื้นที่ทั่วโลก สำหรับประเทศไทยเอง มูลนิธิเพื่อสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้ศึกษาการใช้โครงสร้างเหล็กชนิดเดียวกับขาแท่นมาจัดวางเป็นปะการังเทียมในบริเวณพื้นที่อ่าวโฉลกหลำเกาะพะงัน และพบว่ามีความเหมาะสมในการเข้าอยู่อาศัยของสัตว์น้ำและสิ่งมีชีวิตต่างๆ อีกทั้งเป็นการใช้ประโยชน์ทางด้านการท่องเที่ยวที่สามารถเป็นแหล่งดำน้ำและการประมง สร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีรวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติ จึงเป็นที่มาของการดำเนินโครงการดังกล่าวนี้
ด้าน นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ได้มีการริเริ่มศึกษาความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ในสมัยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และพัฒนาการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทาง ทช. จะร่วมดำเนินงาน ติดตามประเมินและดูแลพื้นที่โครงการฯ รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่เชฟรอนประเทศไทย จะส่งมอบขาแท่นหลุมผลิตปิโตรเลียมที่ไม่ใช้งานแล้วจำนวน 7 ขาแท่น ให้แก่ ทช. เพื่อนำไปจัดวางเป็นปะการังเทียม รวมทั้งให้การสนับสนุนงบประมาณการดำเนินโครงการฯ นอกจากนี้ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะเป็นผู้รับผิดชอบในการศึกษาทางวิชาการด้านกายภาพและนิเวศวิทยาของพื้นที่ รวมถึงการเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการของทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้ ขาแท่นที่นำมาจัดวางนั้น มีลักษณะที่คงทน แข็งแรง ทำจากเหล็กกล้า (carbon steel) ไม่มีส่วนใดสัมผัสกับปิโตรเลียมมาก่อน จึงไม่มีการปนเปื้อนของคราบน้ำมันตกค้าง สำหรับพื้นที่การจัดวางปะการังเทียมตั้งอยู่ห่างจากเกาะพะงันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 7.5 ไมล์ทะเล และมีระยะห่างจากหินใบไปทางตะวันออกประมาณ 7.8 ไมล์ทะเล ซึ่งกองปะการังเทียมจากขาแท่นฯ มีขนาดเพียง 0.05 ตารางกิโลเมตร ที่ระดับความลึกของน้ำประมาณ 38.5–39.5เมตร โดยมีระยะห่างระหว่างมียอดกองถึงผิวน้ำมากกว่า 15 เมตร โดยจะเริ่มจัดวางในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ และ ได้แบ่งการดำเนินงานศึกษาติดตามออกเป็น 2 ระยะ ระยะแรกจะใช้เวลา 2 ปี เพื่อศึกษาผลด้านกายภาพ ชีววิทยา นิเวศวิทยา ส่วนระยะที่สอง จะใช้เวลา 4 ปี ในการติดตามต่อเนื่องจากระยะแรกเพื่อเก็บข้อมูลสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาอยู่อาศัยในแนวปะการัง และการเข้าใช้ประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะมุ่งมั่นดำเนินการเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างความสมบูรณ์และสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล ต่อไป “นายโสภณ อธิบดี ทช. กล่าวในที่สุด”
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมมือกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และชุมชนชาวประมงพื้นบ้านบ้านหินกบ อ.ปะทิว จ.ชุมพร ดูแลระบบนิเวศอ่าวไทย ประสานพลังพนักงานปล่อยลูกพันธุ์ปูม้า 20 ล้านตัวกลับคืนสู่ท้องทะเล ปลูกต้นโกงกาง 1,000 ต้น และเก็บขยะชายฝั่ง บริเวณชายหาด ต.บางสน อ.ปะทิว จ.ชุมพร เสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารชุมชนอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ โดยชมรมบำเพ็ญประโยชน์และชมรมท่องเที่ยวจิตอาสาได้จัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ขึ้น
"ท่าเรือประจวบ" รับใบประกาศคุณประโยชน์ด้านอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลฯ
—
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดงานวันทะเลโลก 2566 "เปลี่ยนพลิกฟื้น คืนโลกสีคราม Plan...
OR และบริษัทในกลุ่ม ปตท. จับมือภาครัฐและภาคีเครือข่าย เร่งปลูกป่าเพิ่ม 2 ล้านไร่ ตั้งเป้ามุ่งสู่การดำเนินธุรกิจค้าปลีกสีเขียว (Green Retailing)
—
นายดิษทัต ป...
ปตท. ผนึกภาครัฐและภาคีเครือข่าย เร่งปลูกป่าเพิ่ม 2 ล้านไร่ มุ่งบรรลุเป้า Net Zero Emissions ปี 2050
—
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ...
JR ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 ปลูกป่าชายเลน "รักษ์โลก" จำนวน 40 ไร่
—
นายนนทิกร กาญจนะจิตรา ประธานกรรมการ และ นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ...
เอสซีจี ผนึกกำลังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคีเครือข่าย ลงนามในบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือในการจัดการขยะทะเล นำร่อง 5 ปากแม่น้ำ
—
กระทรวงทรัพ...
Dow รับมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติยศยิ่ง "รักษ์ทะเลยิ่งชีพ" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
—
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) รับมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติยศยิ่ง "ร...