“AECS” มองตลาดหุ้นไทยลงต่อให้กรอบดัชนี 1,630-1,650 จุด แนะลงทุนหุ้น Defensive -Growth ชู TPCH - SSP – TTW - BAFS – AMATA – BEM –AOT เด่น

13 May 2019
บล.เออีซี มองตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวลงต่อ เหตุกังวลปัญหาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน หลัง ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสิ้นค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯสู่ระดับ 25% จาก 10% และสถานการณ์การเมืองในประเทศยังไม่มีความชัดเจน บวกกับ Bloomberg Consensus จ่อหั่นกำไร บจ. ลงหลังประกาศงบไตรมาส 1/62 ทำให้ EPS ของ SET Index ปรับตัวลดลง และ P/ E ปรับสูงขึ้น จึงให้กรอบดัชนี 1,630-1,650 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น Defensive -Growth ชู TPCH - SSP – TTW - BAFS – AMATA – BEM –AOT เด่น

บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากปัจจัยกดดันการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของ Bloomberg Consensus ซึ่งจะทำให้ EPS ของ SET Index ปรับตัวลดลง และ P/E ปรับตัวสูงขึ้น หากดัชนีมีการปรับขึ้นอาจจะมีการขายทำกำไรได้ และประเด็นทางการเมืองที่ไม่มีความชัดเจน ในการจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่

ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ยังคงเฝ้าจับตาหลังท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสิ้นค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯสู่ระดับ 25% จาก 10% บวกกับการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ-จีนจะสิ้นสุดลงในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังไม่ได้มีรายละเอียดข้อตกลงที่ชัดเจนและการเจรจายังคงยืดเยื้อ อีกทั้ง มีความเสี่ยงที่สหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ยุโรปต่อไปหลังจากขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนแล้ว

อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยบวกจากการประชุม G-20 ที่ประเทศญี่ปุ่นช่วงวันที่ 28-29 มิ.ย. 2562 มีโอกาสที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีจีน นายจีนสี จิ้นผิง จะมีการเจรจาการค้าโดยตรงกันอีกครั้งโดยไม่ได้ผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูง

ดังนั้น ท่ามกลางความผันผวน โดยประเมิน SET ในกรอบ 1,630-1,650จุด มองเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นใน 1 กลุ่ม Defensive และ 1 กลุ่ม Growth เช่น กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ หุ้นTPCH (แม้ช่วง 1Q62 ประกาศกำไรโตเพียง 4.4%YoY เพราะมีโรงไฟฟ้าหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่อย่างไรก็ดีมองระยะยาวมีแนวโน้มโตสดใสจากเป้าปี 63 จะเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็น 200 MW และโรงไฟฟ้าจากขยะกำลังการผลิต 50 MW จากปัจจุบันมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 60 MW, โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 49 MW และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 10 MW) และ หุ้นSSP (ปี 62 ตั้งเป้า COD เพิ่มอีก 65.6 MW จากโซลาฟาร์มมองโกเลีย 16 MW และโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 49.6MW ส่งผลให้สิ้นปีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 157.1MW จากปี 61 ที่ 90.4MW) นอกจากนี้มอง กลุ่มสาธารณูปโภคเป็น OASIS ยามเมื่อตลาดหุ้นไทยผันผวน เลือก หุ้นTTW (กำไรสุทธิช่วง 1Q62 โต 10.4%YoY หลังรายได้ขายน้ำประปารวมของทั้ง TTW และ PTW เพิ่มขึ้น 4%YoY ตามความต้องการใช้น้ำประปาของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น บวกกับส่วนแบ่งกำไรจาก CKP (TTW ถือหุ้น 25.3%)เพิ่มขึ้นจากเพียง 3.2 ลบ. ในช่วง 1Q61 เป็น 35.3 ลบ. สอดคล้องกับปริมาณขายไฟที่มากขึ้นของโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 และ หุ้นBAFS (ประกาศกำไรสุทธิช่วง 1Q62 เติบโต 7.8%YoY จากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.9%YoY ส่วนปี 62ตั้งเป้ารายได้โต 10%YoYและเป้าปริมาณการเติมน้ำมันโต 4-5%YoY ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้ท่อส่งน้ำมันบางปะอิน-พิจิตร ปี 62 ราว 200 ลบ. และเตรียมเข้าประมูลโครงการจัดเก็บและเติมน้ำมันในสนามบินอู่ตะเภา)

รวมทั้งยังแนะนำ กลุ่มนิคมและโลจิสติกส์ กลุ่มนิคม อานิสงส์บวกทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC โตเด่นแนะนำ หุ้นAMATA (ปัจจุบันมีพื้นที่รอการขาย 2,274 ไร่, พื้นที่รอการพัฒนาอีกราว 8,837 ไร่ และที่ดินสำหรับ Commercial Area รวม 1,227 ไร่ โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินปีนี้ไว้ที่ 1,005 ไร่จากปีก่อนที่มียอดขายรวม 863 ไร่) นอกจากนี้มองกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ได้อานิสงส์บวกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แนะนำ หุ้นBEM (ตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจรถไฟฟ้ามีจำนวนผู้โดยสารจะเติบโต 5-7%YoY จากปีก่อนมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 3.1 แสนเที่ยวคน/วันทั้งนี้ตั้งเป้าปี 64 จำนวนผู้โดยสารจะแตะ 5-5.5 แสนเที่ยวคน/วัน จากการเปิดเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-หลักสอง ก.ย. 62 และช่วงเตาปูน-ท่าพระ มี.ค. 63 ส่วนปริมาณจราจรบนทางด่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 1-2%YoY ใกล้เคียงปีก่อนที่เติบโต 1.3%YoY) และ หุ้นAOT (ช่วง ม.ค.-มี.ค. 62 เผยจำนวนเที่ยวบินโต 2.71%YoYและจำนวนผู้โดยสารโต 2.41%YoY)