น.ส.ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด(บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า "กองทุน KFSDIV กองทุน KFLTFDIV และ กองทุน KFTW5 เป็นกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้สูงกว่าดัชนีชี้วัดทั้งหมด โดยดัชนีชี้วัด9 เดือนแรกอยู่ที่ 11.70% ในส่วนของกองทุนKFTSTAR-D ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ มีจุดเด่นของกลยุทธ์การลงทุนแบบ Blend Model คัดสรรหุ้นเด่นได้จากทุกกลุ่ม ก็ให้ผลตอบแทนรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุนที่10.12% สูงกว่าดัชนีชี้วัดที่ 9.74% เช่นกัน ทำให้ในรอบระยะเวลาบัญชีเดือนกรกฎาคม-กันยายนที่ผ่านมา บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุน KFSDIV และกองทุน KFTSTAR-D ได้ในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย และกองทุน KFTW5 ในอัตรา 1.00 บาทต่อหน่วย ส่วนกองทุน KFLTFDIV เป็นการจ่ายเงินปันผลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 – กันยายน 2560 ในอัตรา 1.00 บาท ซึ่งถือเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 13 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2547 รวมแล้วเท่ากับ 8.79 บาทต่อหน่วย ถือเป็นกองทุนที่มีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอทุกปี จึงเป็นกองทุน LTF ที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องเสมอมา" (ที่มา : บลจ.กรุงศรี ณ 31 ต.ค. 60 / ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต)
สำหรับกองทุน KFSDIV เป็นกองทุนหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรม ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 19,000 ล้านบาท และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยปีนี้มีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 3 ครั้ง รวมมูลค่า 0.55 บาท (ที่มา : Morningstar Thailand ณ 31 ต.ค. 60 /ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต) ทั้งนี้ กองทุนทั้ง 4 ดังกล่าวจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อสิทธิในการรับเงิน ปันผลในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 และจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560"
"บลจ.กรุงศรี มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาวจากการที่อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง และตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ยังคงเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆในภูมิภาค หากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (1 ตุลาคม 2550- 29 กันยายน 2560) จะพบว่าการลงทุนในหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 11.23% ต่อปี และคาดการณ์ว่าปีหน้า SET Index น่าจะปรับตัวไปได้ถึง 1,815 จุด โดยอิงจากกำไรบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะโตในระดับ 9% จากปี 2560 และ P/E ratio ที่ 16.5 เท่า นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และแรงสนับสนุนจากการบริโภคในประเทศที่คาดว่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้น การส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงสดใสอีกด้วย" น.ส.ศิริพร กล่าว
นักลงทุนสามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี จำกัด โทร. 02-657-5757 หรือ เว็บไซต์ www.krungsriasset.com หรือ ติดต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit