ตั้งแต่ปี 2560 เทรนด์ศัลยกรรมสุดฮิต คือ การทำศัลยกรรมดึงหน้า และยังคงเป็นเทรนด์ฮิตต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเทรนด์การดูแลสุขภาพและความงาม และการเข้าสู่สังคมสูงอายุ โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดเสริมความงามทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 21 ล้านล้านบาท เติบโต 7% ต่อปี ในขณะที่ตลาดในเอเชียมีมูลค่าราว 1 ใน 5 ของตลาดเสริมความงามทั่วโลกและมีการเติบโตสูงถึง 14% ต่อปี ในช่วงปี 2012-2014 ทั้งนี้ การให้บริการในตลาดเสริมความงามที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่มีแนวโน้มมุ่งไปสู่การใช้บริการด้านการชะลอวัย ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะวัยใดวัยหนึ่ง หรือเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น แต่มีการขยายตัวในทุกเพศทุกช่วงวัย
นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล ผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม และแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง รพ.บางมด เผยว่า "ขณะนี้มีการดึงหน้าเทคนิคใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการดึงหน้าในชั้นใต้ผิวหนังที่เรียกว่า SMAS (SUPERFICIAL MUSCULO-APONEUROTIC SUSTEM) ซึ่งเป็นการดึงหน้าที่เหมาะกับใบหน้าของชาวเอเชีย (ORIENTAL FACE) เนื่องจากเป็นการดึงชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่ต้องตัดผิวหนังมาก ผลก็คือทำให้อาการบวมเจ็บช้ำน้อยกว่าวิธีผ่าตัดแบบเดิมๆ และรอยแผลน้อยกว่าเดิม ซึ่งโดยเทคนิคนี้คนไข้สามารถจะทำผ่าตัดพักฟื้นที่โรงพยาบาลเพียง 1 - 2 วัน หรือกลับบ้านได้เลยและบวมเพียงเล็กน้อย สามารถกลับไปทำงานภายในระยะเวลาแค่ 1 สัปดาห์ทั้งนี้ ศัลยกรรมดึงหน้า สามารถเลือกทำเป็นส่วนๆ ที่มีปัญหาได้ โดยแบ่งใบหน้าเป็น 4 ส่วน คือ
1. ดึงหางตา (Temporal lift) เพื่อแก้ไขหางตาที่ตก ให้ยกขึ้น และแก้รอยตีนกา (Crow' s feet) บริเวณหางตา ทำให้ใบหน้าส่วนบนตึงขึ้น โหนกแก้มยกสูงขึ้น
2. ดึงหน้าส่วนกลาง (Midface lift) เพื่อยกโหนกแก้มขึ้น ทำให้ใบหน้าส่วนกลางตึงขึ้น
3. ดึงหน้าส่วนล่าง (SMASectomy + plication) เพื่อแก้ไขปัญหาร่องแก้ม (Nasolabial fold) ที่ลึกให้จางลง, แก้ไขร่องน้ำหมาก (Marionette line) ให้จางลง ทำให้ใบหน้าส่วนล่างตึงขึ้น ใบหน้าส่วนล่างที่หย่อน (Jowl) ถูกยกขึ้น ทำให้ดูเรียวขึ้นเป็น V-shape
4. ดึงคอ (Necklift) ทำให้ลำคอตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อย และเหนียงบริเวณคอ เพื่อให้เข้ากับส่วนของใบหน้าที่อ่อนวัยลง"
HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit