นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr. Komsorn Prakobpol, Head of Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit: TISCO ESU) กล่าวว่า นโยบายของนาย โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากนโยบายการคลัง เช่น การลดภาษี และแผนการใช้จ่ายภาครัฐฯ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จะส่งผลให้ GDP สหรัฐฯ กลับมาเติบโตได้เกิน 3% ในปีหน้า ส่วนด้านนโยบายภาษี เราประเมินว่าสภาคองเกรสจะอนุมัติให้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 25% จาก 35% ในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 8 % โดยประมาณ
ในรายอุตสาหกรรม ESU คาดว่าหุ้นในกลุ่ม Health Care เช่นอุตสาหกรรมยา จะได้รับผลบวกจากการคลายความกังวลต่อข้อเสนอการควบคุมราคายาซึ่งเป็นนโยบายหลักของนางฮิลลารี่ คลินตัน คู่แข่งจากพรรเดโมแครต ส่วนกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานอาจได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายกฏเกณฑ์ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ ตามข้อเสนอของนายทรัมป์
อย่างไรก็ดี ด้านตลาดหุ้นยุโรป ความเสี่ยงทางการเมืองจะกดดันตลาดหุ้นในยุโรปในช่วงปลายปีนี้ ไปจนตลอดถึงปีหน้า โดยจะมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลี ในวันที่ 4 ธ.ค. ซึ่งหากไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน ก็อาจจุดชนวนให้เกิดการล้มรัฐบาล และเปิดโอกาสให้พรรค Five Star Movement (M5S) ที่มีนโยบายต่อต้านสหภาพยุโรปได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
นอกจากนี้ในปีหน้ายังมีการเลือกตั้งในหลายประเทศ เช่น การเลือกตั้งทั่วไปของเนเธอแลนด์ ในเดือน มี.ค. การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในเดือน เม.ย. และการเลือกตั้งทั่วไปของเยอรมนีในเดือน ก.ย. รวมไปถึงความไม่แน่นอนจากการเจรจา Brexit ซึ่งจะเริ่มต้นในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า เราเชื่อว่าปัจจัยทางการเมืองเหล่านี้ จะกดดันเศรษฐกิจยุโรป โดยเฉพาะด้านการลงทุนและการบริโภค เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น
ESU แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากเศรษฐกิจและผลกำไรจะได้รับผลบวกจากนโยบายการคลังของนายทรัมป์ และให้ทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นยุโรป เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองซึ่งจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit