รู้ว่าตอนนี้หลายคนคงจะคิดอยู่ว่าจะเอาเงินตรงนี้ไปใช้อย่างไรดี จะช้อปปิ้ง บุฟเฟ่ต์ หรือ ไปญี่ปุ่นสักทริป แต่ดึงสติไว้ก่อน เพราะแทนที่จะเอาเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายเพื่อความสำราญใจ เราสามารถใช้เงินตรงนี้ไปทำงาน เพื่อให้ได้เงินเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมได้อีก!K-Expert จากธนาคารกสิกรไทย แนะนำว่า ถ้าอยากเห็นเงินงอกเงย วิธีที่ทำได้คือเอาไปลงทุน และการลงทุนเดี๋ยวนี้ก็ง่ายมาก แค่เดินไปที่สาขาธนาคารพร้อมบัตรประชาชนและสมุดบัญชีออมทรัพย์ แล้วก็แจ้งพนักงานว่าต้องการเปิดบัญชีกองทุน เท่านี้ทุกคนก็ลงทุนได้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น ควรศึกษาสักนิด ว่าจะลงทุนในกองทุนไหน แต่ละกองทุนมีนโยบายลงทุนอย่างไร ผลตอบแทนอยู่ที่เท่าไหร่ เอาให้พอเข้าใจว่ากำลังจะเอาเงินไปทำอะไร
สำหรับคนเพิ่งเริ่มลงทุนอาจจะเริ่มจากกองทุนที่อยู่ในระดับความเสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ถึงตรงนี้บางคนอาจจะงงว่าตราสารหนี้คืออะไร พูดง่ายๆ ก็คือเอาเงินของเราไปให้รัฐบาล หรือบริษัทใหญ่ๆ ยืมไปลงทุน ซึ่งปกติจะใช้เงินเป็นหลักแสนขึ้นไป แต่ถึงเราจะไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น ก็ยังสามารถทำได้ผ่าน "กองทุนรวมตราสารหนี้" ซึ่งเป็นการรวบรวมเงินของนักลงทุนรายย่อยเข้าด้วยกัน ใช้เงินเริ่มต้นเพียงหลักร้อย แล้วผู้จัดการกองทุนจะเอาเงินตรงนี้ไปให้หน่วยงานต่างๆ ยืมอีกที ซึ่งเรียกว่าเอาไปซื้อตราสารหนี้ และเมื่อขายกองทุนก็จะมีโอกาสได้รับกำไรจากการลงทุน
แล้วที่บอกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นมีความเสี่ยงต่ำ มันเสี่ยงต่ำอย่างไร คำตอบคือ มีความเสี่ยงต่ำเพราะกองทุนจะนำเงินไปซื้อตราสารหนี้จากหน่วยงานที่มีความมั่นคง น่าเชื่อถือ และเรตติ้งดี เช่น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และบริษัทเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับน่าลงทุน ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้มีโอกาสผิดชำระหนี้น้อยมาก ทำให้โอกาสขาดทุนและโอกาสที่ราคากองทุนจะผันผวนก็น้อยตามไปด้วย ส่วนผลตอบแทนที่ได้อยู่ที่ประมาณ 1-2% ซึ่งเยอะกว่าเอาเงินไปฝากบัญชีออมทรัพย์เฉยๆ ที่ได้ดอกเบี้ยแค่ 0.5% ต่อปีเท่านั้น และยิ่งเก็บเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์นานๆ เงินก็จะมีค่าน้อยลง เอาไปซื้อของได้น้อยลง จากสาเหตุว่าอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งทะยานสูงเกินดอกเบี้ยเงินฝากไม่รู้กี่เท่าต่อปี
อีกหนึ่งวิธีที่จะสร้างความร่ำรวย แถมได้ความมั่นคงในชีวิตเพิ่มเติมด้วย คือ การทำประกันชีวิต ซึ่งบางคนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับคำว่าประกันนัก เพราะเคยเจอประสบการณ์ที่ไม่น่ารักจากเทคนิคการขายประกันสารพัดรูปแบบ แต่ K-Expert ยังยืนยันว่าทุกคนควรทำประกันชีวิต แต่ก่อนตัดสินใจทำประกัน ต้องอ่านเงื่อนไขให้ละเอียด ไม่เข้าใจจุดไหนต้องถามตัวแทนขายประกันให้ชัดเจน ทั้งเรื่องการเบิก การเคลม การคืนเงินประกัน และผลตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งประกันแต่ละแบบจากแต่ละบริษัท ก็จะมีเงื่อนไขที่ต่างกัน ย้ำ! ต้องเข้าใจเงื่อนไขให้ดี ก่อนตัดสินใจทำประกัน จะได้ไม่มานั่งเซ็งและเสียความรู้สึกกับประกันทีหลัง
แล้วการทำประกันมีข้อดีอย่างไร ทำไมเราถึงควรทำประกัน คำตอบง่ายๆ คือ ประกันชีวิตจะช่วยรักษาสถานภาพการเงินได้มาก เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น การเสียชีวิต ความเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือความทุพพลภาพ ซึ่งล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ซึ่งผลที่ตามมาคือ ทำให้ขาดรายได้ ไม่มีเงินเข้ามาให้ใช้จ่ายได้ตามปกติ ดังนั้น การมีประกันจะช่วยให้เรามีเงินจำนวนหนึ่งมาใช้จ่ายในช่วงนี้ พอให้มีเวลาในการตั้งตัวเพื่อใช้ชีวิตต่อไปได้ เรียกได้ว่า หนึ่งในความเสี่ยงที่สุดของชีวิตคือการไม่มีประกันชีวิตก็ว่าได้การทำประกันชีวิตที่ดี ควรมีทุนประกันประมาณ 3 เท่าของรายได้ต่อปี แต่เราก็ไม่ควรเลือกโดยดูจากผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว เพราะหากเน้นเอาผลตอบแทนสูงๆ เป็นหลัก ส่วนใหญ่จะเลือกทำประกันแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งถ้าจะทำประกันแบบสะสมทรัพย์ให้ได้ทุนประกัน 3 เท่าของรายได้ต่อปี ค่าเบี้ยประกันจะสูงมากจนกลายเป็นภาระ ดังนั้น จึงควรพิจารณาประกันแบบอื่นประกอบด้วย เช่น ทำประกันแบบสะสมทรัยพ์ร่วมกับแบบตลอดชีพ ก็จะช่วยลดเบี้ยประกันลงได้ เหลือประมาณ 10-15% ของเงินเดือน ซึ่งไม่เป็นภาระที่หนักหนาเกินไปนักจะเห็นได้ว่าคำแนะนำของ K-Expert ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะเริ่มทำตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมหรือประกันชีวิต ซึ่ง 2 สิ่งนี้จะช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพการเงินที่แข็งแรงมากขึ้นทีเดียว หากใครต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมก็สามารถปรึกษากับ K-Expert ได้หลากหลายช่องทาง ทั้ง K-Expert Center ที่ชั้น 2 จามจุรีสแควร์ ทางอีเมล์ [email protected] ทางโทรศัพท์ 0-2888-8888 กด 09 และทางเว็บไซต์ www.k-expert.askkbank.com
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit