นายวีระ กล่าวว่า นอกจากนี้แก้ไขให้ปลัด มท. เป็นรองประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์ฯ จากเดิมเป็นปลัด วธ. เป็นรองประธาน แม้ว่าจะโอนย้ายกิจการฮัจย์ไปแล้ว ทางวธ. ยังคงร่วมขับเคลื่อนงานของกิจการฮัจย์ต่อไป โดยได้เพิ่มสัดส่วนของกรรมการ อาทิ ปลัด วธ. ผู้แทน ศน. ผู้แทนจุฬาราชมนตรี ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ฯลฯ เป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์ฯ เพื่อให้ครอบคลุมภารกิจและช่วยขับเคลื่อนงานได้รวดเร็วขึ้น ส่วนหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์ฯ ปรับแก้ให้อธิบดีกรมการปกครอง ทำหน้าที่แทน อธิบดี ศน.
รมว.วธ. กล่าวต่อว่า เน้นย้ำว่าการแก้ร่างพ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว เพื่อโอนย้ายกิจการฮัจย์จากศน. ไปกรมการปกครอง ไม่ได้เกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่นตามที่นำเสนอข่าวก่อนหน้านี้ เหตุผลหลักคือ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและเพื่อให้การดำเนินกิจการฮัจย์เข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล จึงต้องปฏิรูปการบริหารกิจการงานฮัจย์ใหม่ ที่สำคัญกรมการปกครอง ถือว่ามีกลไกการทำงานที่ลงพื้นที่ใกล้ชิดประชาชนมากกว่า วธ. เพราะมีนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้ง มีอิหม่าม คอเต็บและบิหลั่นประจำมัสยิดอยู่ในการดูแล อย่างไรก็ตามการดำเนินการโอนกิจการฮัจย์ จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับตั้งแต่พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้