รมว.พม. เป็นประธานเปิดงาน ๑๕ ปี พอช. “พลังองค์กรชุมชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก”

26 Oct 2015
วันนี้ (๒๕ ต.ค.๕๘) เวลา ๐๘.๓๐ น. ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ถนนนวมินทร์ ซอย ๔๕ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธาน ในพิธีเปิดงาน ๑๕ ปี พอช. "พลังองค์กรชุมชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก" โดยมีวัตถุประสงค์ในการสรุปผลการดำเนินงาน การเปลี่ยนแปลง และบทเรียนต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนงานพัฒนาขององค์กรชุมชนและเครือข่าย กำหนดแนวทางการพัฒนาในช่วงต่อไปที่จะนำไปสู่การสร้างเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจจากฐานรากอย่างแท้จริงและมีพลัง

พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๓ ได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ขึ้น จากนั้นจึงได้มีการเปิดการดำเนินงานสถาบันฯ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๔๓ โดยมีเจตนารมณ์สำคัญที่ต้องการให้ พอช. เป็นองค์กรในการสนับสนุนและให้การช่วยเหลือแก่องค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชนในการพัฒนาอาชีพ รายได้ ที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิก ทั้งในชุมชนเมืองและชนบท โดยยึดหลักการพัฒนาแบบองค์รวม สนับสนุนทางการเงินสินเชื่อแก่องค์กรชุมชน เชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรชุมชนและประสานความร่วมมือพหุภาคี หลังจากการจัดตั้ง พอช. ก็ได้รับมอบหมายภารกิจตามนโยบายรัฐบาลชุดต่างๆมาโดยตลอด เช่น โครงการบ้านมั่นคง สวัสดิการชุมชน การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย และที่ดิน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น และในปี ๒๕๕๑ ได้รับภารกิจในการสนับสนุนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน ปัจจุบัน พอช. ได้ดำเนินงานมาครบรอบปีที่ ๑๕ แล้ว ซึ่งในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านมา เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนทั่วประเทศและสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนได้ร่วมกันขับเคลื่อนงานพัฒนาเพื่อฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นและพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ จนถึงปัจจุบันมีพื้นที่ปฏิบัติการที่มีการเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรชุมชนในพื้นที่ ๖,๔๔๗ ตำบล ครอบคลุมทั้ง ๗๗ จังหวัด ในพื้นที่เหล่านี้ได้มีการจัดตั้งเป็นสภาองค์กรชุมชนตำบลแล้ว ๔,๙๐๑ แห่ง องค์กรจดแจ้ง ๑๑๔,๕๙๔ องค์กร กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบล ๖,๐๐๐ กองทุน สมาชิก ๕.๓๙ ล้านคน เงินทุนสวัสดิการ ๑๐,๙๕๔ ล้านบาท โครงการบ้านมั่นคง ๙๖๓ โครงการ ๑๐๐,๐๐๐ ครัวเรือน แก้ไขปัญหาที่ดินทำกินชนบท ๑,๗๐๐ ตำบล พัฒนาเศรษฐกิจและทุนชุมชน ๓๓๖ ตำบล

พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปีการดำเนินงานของ พอช.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวชุมชนได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในด้านการมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง มีที่ดินทำกิน มีสวัสดิการชุมชนที่ดูแลเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีกองทุนของชุมชน ที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเรื่องต่างๆได้เอง รวมทั้งสามารถช่วยเหลือกันยามเกิดภัยพิบัติ มีสภาองค์กรชุมชนที่เป็นเวทีปรึกษาหารือร่วมกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ การร่วมแรงร่วมใจกันขององค์กรชุมชนและเครือข่ายที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงและเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ ผลงานและความสำเร็จดังกล่าว พอช.ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้มีบทบาทสำคัญในการหนุนเสริมการพัฒนาขององค์กรชุมชนและเครือข่าย ทั้งการสนับสนุนการเชื่อมโยงกลุ่มองค์กรชุมชน เป็นเครือข่ายทั่วประเทศ เปิดพื้นที่สร้างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ตลอดจนประสานหน่วยงานและภาคีต่างๆ เพื่อร่วมหนุนเสริมงานพัฒนา ทั้งนี้ ตนได้มอบนโยบายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการพัฒนาขององค์กรชุมชนและเครือข่าย คือ ด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงฯ โดยมีแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีอยู่อาศัยเป็นของตนเอง มีความมั่นคงในการอยู่อาศัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองได้และมีสภาพแวดล้อมที่ดีในการอยู่อาศัย ส่วนด้านการพัฒนาองค์กรชุมชนและเครือข่าย เป็นหนึ่งในพันธกิจ ๙ ด้านของกระทรวงฯ ประกอบด้วย การสนับสนุนการจัดสวัสดิการชุมชน การสนับสนุนการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล รวมถึงสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการจัดการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยในชนบท ซึ่งการขับเคลื่อนงานพัฒนาขององค์กรชุมชนและเครือข่ายช่วงที่ผ่านมา จึงมีความสอดคล้องและมีส่วนสำคัญในการหนุนเสริมการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงฯ

"ขอให้ชาวชุมชนทุกท่าน ร่วมกันสานต่องานพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเป็นทุนในการพัฒนาที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยพลัง "ประชารัฐ" ให้เป็นไปอย่างกว้างขวางและมีพลัง อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศชาติให้มีความ "มั่นคง เข้มแข็ง และยั่งยืน" เพื่ออนาคตสืบไป" พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวท้าย