ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ “บ. นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (7)” ที่ “AA-(sf)”

02 Dec 2015
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นอายุ 5 ปี (หุ้นกู้มีประกัน) ของ บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (7) จำกัด (ผู้ออกตราสาร หรือเอสพีวี) ที่ระดับ "AA-(sf)" ตราสารดังกล่าวเป็นตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลังที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตชุดที่ 3 ซึ่งริเริ่มโดยบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท. หรือ ผู้ค้ำประกัน) หุ้นกู้มีประกันดังกล่าวได้รับการค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้โดย บตท. ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ "AA-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" จากทริสเรทติ้ง นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากการมีหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ถือโดย บตท. รวมทั้งจากการที่ บตท. ตกลงจะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีเพื่อเสริมสภาพคล่อง และหน้าที่ของ บตท. ในการซื้อกองสินทรัพย์คงเหลือคืนจากเอสพีวี ณ วันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ด้วย ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่ผู้ถือหุ้นกู้มีประกันจะได้รับชำระคืนหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ครบถ้วนตามกำหนดเวลาด้วยเช่นกัน

บตท. หรือผู้ค้ำประกัน ได้รับการก่อตั้งในปี 2540 ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. 2540 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1,000 ล้านบาท บตท. มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจประเภทสถาบันการเงินเฉพาะกิจสังกัดกระทรวงการคลังซึ่งมีบทบาทในการพัฒนาตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยใช้วิธีการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ในการระดมทุน ภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าว รัฐบาลสามารถค้ำประกันตราสารหนี้ที่ออกโดย บตท. ได้ไม่เกิน 4 เท่าของเงินกองทุน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บตท. มีเงินกองทุนอยู่ที่ 959.06 ล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลจึงสามารถค้ำประกันหนี้ของ บตท. ได้ถึง 3,836.24 ล้านบาท โดย บตท. จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้และผู้ให้เงินกู้ยืมเพื่อเสริมสภาพคล่องของโครงการด้วย

เอสพีวี หรือผู้ออกตราสาร เป็นบริษัทจำกัดที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไทยและได้รับอนุญาตให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจตาม พ.ร.ก. นิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ถือหุ้นของเอสพีวีประกอบด้วย บตท. ซึ่งถือหุ้น 48% บริษัท บริการดี จำกัด ซึ่งถือหุ้น 48.99% และบุคคลทั่วไปซึ่งถือหุ้น 3.01%

ในระยะเริ่มต้นของโครงการ เอสพีวีได้นำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้มีประกันในวงเงิน 3,200 ล้านบาทให้แก่นักลงทุนและออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิมูลค่า 881.65 ล้านบาทที่ให้แก่ผู้เสนอโครงการไปใช้ซื้อสิทธิเรียกร้องในค่างวดตามสัญญากู้เงินเพื่อที่อยู่อาศัย(กองสินทรัพย์) จากผู้เสนอโครงการ โดยมูลค่าของหุ้นกู้ด้อยสิทธิคิดเป็นประมาณ 21.6% ของมูลค่ารวมของหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ทั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิมีสถานะด้อยกว่าหุ้นกู้มีประกันและเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้มีประกันนี้

กองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่ง บตท. ซื้อมาจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK หรือผู้ขาย) ประกอบด้วยสัญญาเงินกู้จำนวน 4,113 สัญญาซึ่งมีมูลค่าเงินต้นคงเหลือจำนวน 4,005.73 ล้านบาท มูลค่าทางบัญชีของกองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 4,081.65 ล้านบาท โดยสิทธิในหลักประกัน สัญญาจำนองและกรมธรรม์ที่มาพร้อมกับสินเชื่อได้โอนให้แก่ เอสพีวีในช่วงระยะเริ่มต้นโครงการ อีกทั้งหุ้นกู้มีประกันยังได้รับการสนับสนุนจากการที่ บตท. ตกลงที่จะให้เงินกู้ยืมเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่เอสพีวีและจะรับซื้อคืนกองสินทรัพย์ที่ยังคงเหลืออยู่จากเอสพีวี ณ วันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ด้วย

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 มูลค่าคงเหลือของหุ้นกู้มีการค้ำประกันอยู่ที่ 3,025.41 ล้านบาท ในขณะที่กองสินเชื่อมีมูลค่าเงินต้นคงเหลือจำนวน 3,641.87 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนกันยายน 2557 ถึงเดือนกันยายน 2558 เอสพีวีได้รับเงินค่าผ่อนชำระรายเดือนจากลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนทั้งสิ้น 526.05 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยเงินต้นที่ได้รับชำระคืนตามกำหนดเวลาจำนวน 257.13 ล้านบาท ดอกเบี้ยจำนวน 162.29 ล้านบาท และเงินต้นที่ได้รับคืนก่อนกำหนดจำนวน 106.63 ล้านบาท โดยจำนวนเงินต้นที่ได้รับคืนก่อนกำหนดคิดเป็นประมาณ 2.66% ของเงินต้นรวมในระยะเริ่มต้นโครงการ ในขณะที่หนี้ที่มีการผิดนัดชำระสุทธิอยู่ที่ 75.70 ล้านบาท หรือประมาณ 1.89% ของมูลค่าเงินต้นเริ่มแรกของกองสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 มูลค่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิคงเหลืออยู่ที่ 765.71 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.3% ของมูลค่าหุ้นกู้รวมคงค้างทั้งหมด ซึ่งลดลงจาก 21.6% ของมูลค่าหุ้นกู้ทั้งหมดในช่วงเริ่มต้นโครงการ

บตท. จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ของโครงการนี้โดยเงินค่างวดที่ได้รับในแต่ละเดือนจะนำเข้าบัญชีของ บตท. ก่อนและจะโอนเข้าบัญชีของเอสพีวีทุกเดือน นอกจากนี้ บตท. ตกลงจะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีตลอดอายุของหุ้นกู้ในกรณีที่ เอสพีวีไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชำระหนี้ในแต่ละงวดด้วย และภายใต้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง บตท. ตกลงจะซื้อคืนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวโดยราคาซื้อคืนสิทธิเรียกร้องจะเท่ากับมูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระของหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ รวมทั้งภาระผูกพันต่าง ๆ ณ วันสิ้นงวดของเดือนก่อนหน้าวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ หรือราคาอื่นใดแล้วแต่บริษัทและ บตท. จะตกลงกัน โดยเอสพีวีจะนำเงินที่ได้จากการขายคืนสิทธิเรียกร้องไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งหากยังมีส่วนที่ขาดอยู่ บตท. ก็จะรับชำระให้ตามสัญญาค้ำประกัน

หุ้นกู้มีประกันภายใต้โครงการนี้จะมีการทยอยชำระคืนเงินต้นตลอดอายุหุ้นกู้ประมาณ 30% ดังนั้น การชำระคืนเงินต้นทั้งหมดในวันที่ครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ค้ำประกันคือ บตท. ในการที่จะซื้อคืนสิทธิเรียกร้องคงเหลือทั้งหมดกลับไป นอกจากนี้ บตท. ยังตกลงที่จะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีตลอดอายุของหุ้นกู้มีประกันในกรณีที่เอสพีวีขาดสภาพคล่องอีกด้วย ดังนั้น อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีประกันจึงจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกัน บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (7) จำกัด (SPV-SMC (7)) อันดับเครดิตตราสารหนี้: MBSD199A: หุ้นกู้มีการค้ำประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้น 2,995.64 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 AA-(sf)