แสนสิริกวาดยอดขายรวม 8,500 ล้านบาท จากการเจาะตลาดต่างชาติ ฮ่องกง สิงคโปร์และรัสเซีย รั้ง TOP3 ซื้อคอนโดแสนสิริสูงสุด

26 Sep 2014
พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรมการตลาด หวังขยายฐานลูกค้าต่างชาติเพิ่ม

แสนสิริประสบความสำเร็จจากการรุกตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ เผยปัจจุบันมียอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติรวมแล้วกว่า 8,500 ล้านบาท ชี้ 8 เดือนแรกปีนี้กวาดไป 585 ล้านบาทโตกว่าปีก่อนถึง 460% เชื่อมั่นแตะเป้า 1,100 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ได้แน่ ระบุความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองไม่กระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนอสังหาฯ โดยลูกค้าต่างชาติที่ซื้อคอนโดมิเนียม แสนสิริสูงสุด คือ ฮ่องกง สิงคโปร์และรัสเซีย ห้องแบบ 1 – 2 ห้องนอนได้รับความนิยมสูงสุดใน กทม. ส่วนคอนโดมิเนียมต่างจังหวัดขายดีทุกขนาดหลังตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมรุกจัดกิจกรรมและโปรโมชั่นช่วงไตรมาส 4 เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าต่างชาติต่อเนื่อง

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันแสนสิริมียอดขายรวมจากลูกค้าต่างชาติถึง 8,500 ล้านบาทหรือคิดเป็น 5% ของยอดขายรวมของแสนสิริทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึง 31 สิงหาคม 2557 ซึ่งยอดขายนี้มาจากการขายคอนโดมิเนียม 1,500 ยูนิตแก่ลูกค้าต่างชาติจาก 55 ประเทศ โดยลูกค้าต่างชาติที่มียอดซื้อคอนโดมิเนียมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง 9.6% (820 ล้านบาท), สิงคโปร์ 5.6% (480 ล้านบาท), รัสเซีย 5.5% (470 ล้านบาท), อังกฤษ 4.7% (400 ล้านบาท) และฝรั่งเศส 4.3% (370 ล้านบาท) สำหรับยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ 8 เดือนแรกของปี 57 อยู่ที่ 585 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 127 ล้านบาทหรือคิดเป็น 460%

“แม้ช่วงปลายปีที่ผ่านมาจนถึงครึ่งปีแรกของปี 2557 ประเทศไทยจะประสบกับความไม่แน่นอนด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนชาวต่างชาติก็ยังลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยต่อเนื่อง เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีความเคยชินกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทยและรับทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปัจจัยลบชั่วคราวเท่านั้น โดยเหตุผลหลักที่นักลงทุนต่างชาติเลือกลงทุนในอสังหาฯ เมืองไทย คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับสูง ราคาอสังหาฯ ที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์และฮ่องกง เสน่ห์ของเมืองไทย และราคาอสังหาฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี”

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ซื้อโครงการของแสนสิริมีความแตกต่างกันตามทำเล เช่น ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเป็นผู้ซื้อเพื่อลงทุน ขณะที่ในเมืองท่องเที่ยวจะเป็นการซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สองและอยู่อาศัยระยะยาวเพื่อทำงานหรือเกษียณอายุ เป็นต้น โดยคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ห้องที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ห้องแบบ 1 และ 2 ห้องนอนที่ตกแต่งพร้อมปล่อยเช่าในคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า ส่วนคอนโดมิเนียมในเมืองตากอากาศห้องที่ขายได้ดีจะมีตั้งแต่สตูดิโอไปจนถึงเพนท์เฮ้าส์เพราะกลุ่มลูกค้ามีความหลากหลายทั้งในเรื่องงบประมาณการซื้อและวัตถุประสงค์ของการลงทุน ทั้งนี้ จุดเด่นของแสนสิริที่ดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุน คือ การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ให้บริการครอบคลุมถึงการบริหารจัดการโครงการที่พักอาศัยและการให้บริการซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่า เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งการันตีว่าการลงทุนในอสังหาฯ จะมีแต่เพิ่มมูลค่าและให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีต่อเนื่องในระยะยาว

“จากการรุกตลาดต่างชาติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ายังมีดีมานด์ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยของชาวต่างชาติอีกมาก ดังนั้น แสนสิริจะเดินหน้าเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป โดย ในช่วง low-season เราจะจัดโรดโชว์เดินสายโปรโมทโครงการในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งปีนี้เราได้ไปโรดโชว์ยังตลาดใหม่ คือ จีนแผ่นดินใหญ่และรัสเซียหลังจากเริ่มเห็นกำลังซื้อของกลุ่มนักลงทุนในประเทศเหล่านั้น ทั้งนี้ การโรดโชว์ในแต่ละครั้งก็ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายและยอดผู้เข้าชมตามที่เราวางเป้าไว้ด้วยจำนวนคนเข้าชมโรดโชว์วันละ 50 – 100 คนและยอดขายประมาณ 100 – 200 ล้านบาทต่อโรดโชว์หนึ่งครั้ง นอกจากนั้น ในช่วง high-season ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวของประเทศไทยในช่วงไตรมาส 4 เรามีการจัดกิจกรรมทางการตลาดและมอบโปรโมชั่นพิเศษแก่ลูกค้าต่างชาติ รวมทั้งจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น เอเจนซี่ในต่างประเทศให้นำลูกค้าต่างชาติมาเยี่ยมชมโครงการ และอีลิทการ์ด (Elite Card) เพื่อมอบสิทธิประโยชน์และเอกสิทธิ์เหนือระดับแก่ลูกค้าของแสนสิริ เป็นต้น ซึ่งแสนสิริเชื่อมั่นว่ายอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติในปีนี้จะอยู่ที่ 1,100 ล้านบาทตามที่เราวางเป้าได้แน่นอน” นายเศรษฐา กล่าวสรุป