· “ดีน แอนด์ เดลูก้า” มุ่งสู่การเติบโตในตลาดโลก โดยเพิ่มสาขาหลายร้อยสาขาใน 2 ปีและในอีก 15 ประเทศ
· “บริษัทไทยควรมุ่งสู่ตลาดโลก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจรองรับ AEC และ การแข่งขันในภูมิภาคที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น” นายสรพจน์ เตชะไกรศรี CEO เพซ กล่าว
· SCB กล่าวว่า “เราปลื้มปิติกับบริษัทไทยที่มีวิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่เช่น บมจ. เพซ และยินดีสนับสนุนความมุ่งมั่นของเพซให้สำเร็จเป็นรูปธรรม”
บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน (หรือ เพซ) ประกาศว่า ได้เซ็นสัญญาซื้อกิจการทั้งหมดของ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มกูร์เมต์ชั้นนำของโลก จากบริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า โฮลดิ้งส์ อิงค์ เป็นวงเงิน140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.55 พันล้านบาท)
การซื้อกิจการดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพของเพซให้รักษาความเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (mixed-use) ในระดับไฮเอนด์ อีกทั้ง ดีน แอนด์ เดลูก้า ก็ยังมีโอกาสอีกมากในการที่จะเติบโตได้อย่างรวดเร็วในตลาดโลกการเข้าซื้อกิจการดีน แอนด์ เดลูก้า ในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการซื้อเครือข่ายซัพพลายเชน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 11 สาขา และร้านจำหน่ายอาหารอีก 2 แห่งในสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังรวมถึงสิทธิในสัญญาของร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้าต่างๆ นอกสหรัฐอเมริกาอีก 31 สาขาในตลาดนอกสหรัฐอเมริกา ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นธุรกิจในประเทศไทย 4 สาขา นอกจากนี้ยังมีสาขาที่ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ คูเวต กาต้าร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “เพซตั้งเป้าที่จะหลอมรวมธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบ mixed-use ระดับไฮเอนด์เข้ากับแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ตลาดโลก โดยเห็นว่าความสำเร็จในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในอนาคตคือ การมอบไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า มิใช่แค่การนำเสนอเพียงที่พักอาศัยหรือสิ่งปลูกสร้าง เพราะเราเข้าใจดีว่าลูกค้าต้องการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม นั่นคือเหตุผลที่เราต้องนำแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ดีที่สุดในโลกมาสู่โครงการอสังหาริมทรัพย์ของเรา ซึ่งรูปแบบการหลอมรวมธุรกิจดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วถึงผลสำเร็จ จากบริษัทที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย และการค้าปลีกระดับโลกหลากหลายบริษัท”
นายสรพจน์ กล่าวว่า “แบรนด์ระดับไอคอนอย่างดีน แอนด์ เดลูก้า มีโอกาสสูงมากในการเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดระดับโลก เราคาดว่าภายใต้นโยบายการขายลิขสิทธิ์เพิ่มให้กับผู้ประกอบการเดิมและผู้ประกอบการรายใหม่ในแต่ละประเทศ รวมถึงการลงทุนในร้านใหม่ๆ จากทางเพซเอง จะสามารถขยายดีน แอนด์ เดลูก้าได้อีกหลายร้อยสาขาภายใน 2 ปี จากปัจจุบันที่มีทั้งหมด 42 สาขาและจะขยายจาก 8 ประเทศไปสู่ 15 ประเทศภายใน 2 ปีด้วยเช่นกัน”
“ดีน แอนด์ เดลูก้า เป็นแบรนด์ในระดับโลกที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในด้านผลิตภัณฑ์อาหารกูร์เมต์และเครื่องปรุงที่ดีที่สุดมายาวนานเกือบ 40 ปี และเป็นองค์กรที่โดดเด่นในเรื่องความสามารถของพนักงาน ซึ่งเราจะยังคงใช้ทีมบริหารปัจจุบันของดีน แอนด์ เดลูก้าดำเนินการบริหารธุรกิจต่อไป ทั้งนี้เพซจะนำข้อดีเด่นดังกล่าวของดีน แอนด์ เดลูก้า มาใช้อย่างเต็มศักยภาพในการผลักดันให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของเรา” นายสรพจน์ กล่าว
นายสรพจน์ กล่าวว่า “เพซเข้าใจในเรื่อง ‘คุณภาพ’ และทราบวิธีการทำงานร่วมกับแบรนด์ระดับ พรีเมี่ยมเป็นอย่างดี โดยเพซมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยมและธุรกิจค้าปลีกระดับโลกที่ประสบความสำเร็จในสาขาเฉพาะด้านหลายแบรนด์ อาทิ แฟชั่นไอคอนแบรนด์อย่าง Vogue Lounge ธุรกิจอาหารระดับ Michelin-star อย่าง L’Atelier de Joël Robuchon และ The Ritz-Carlton Residences โดยล่าสุด บมจ. เพซเพิ่งคว้ารางวัล ‘Best Condominium Development South East Asia’ ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่ ของการประกาศรางวัล South East Asia Property Awards 2014”
นายสรพจน์ กล่าวว่า “การเริ่มต้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในเร็ววันนี้ จะนำมาซึ่งโอกาสสำคัญให้แก่บริษัทในประเทศไทย และเพซเชื่อมั่นว่าบริษัทไทยจะต้องมุ่งสู่ตลาดโลก เพื่อให้ธุรกิจของตนดำเนินต่อไปได้อย่างดี ท่ามกลางการแข่งขันในภูมิภาคที่จะยิ่งทวีความเข้มข้น”
นายสรพจน์ กล่าวว่า “การซื้อกิจการดีน แอนด์ เดลูก้า จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้แก่เพซ โดยจะนำมาซึ่งแหล่งรายได้ที่มีความผันผวนน้อยกว่าแก่ธุรกิจของบริษัท เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง”
นายสรพจน์ กล่าวเสริมว่า “การซื้อกิจการแบรนด์ระดับโลกอย่าง ดีน แอนด์ เดลูก้า ยังจะช่วยเพิ่มศักยภาพของเพซในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่เปี่ยมความสามารถ ทั้งยังเพิ่มโอกาสในการเติบโตในสายงานของพนักงานในบริษัทเพซเองด้วย”
โดยแหล่งเงินทุนสำหรับการซื้อกิจการดีน แอนด์ เดลูก้า ในครั้งนี้ เป็นเงินที่มาจากเงินทุนหมุนเวียนภายในของเพซเอง รวมถึงเงินกู้ที่ได้จากธนาคารไทยพาณิชย์
นายอาทิตย์ นันทวิทยา รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราปลื้มปิติกับบริษัทไทยที่มีวิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่เช่นเพซ และยินดีสนับสนุน ความมุ่งมั่นของเพซให้สำเร็จเป็นรูปธรรม การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำของธนาคารทางด้านธุรกรรมการซื้อ ขาย และควบรวมกิจการ ด้วยความรู้และความเข้าใจในอุตสาหกรรม และธุรกิจของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง รวมถึงความเชี่ยวชาญในการจัดโครงสร้างทางการเงิน เพื่อการเข้าซื้อกิจการเพื่อให้ธุรกรรมสำเร็จลุล่วง ธนาคารไทยพาณิชย์มีความมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกๆ ด้าน ด้วยการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทางธุรกิจของลูกค้าได้อย่างดีที่สุด”
ในส่วนของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน เปิดเผยว่าบริษัทเตรียมจะเข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 100% ในโครงการมหานคร (โครงการรูปแบบ mixed-use) รวมถึงธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง ด้วยการแลกเปลี่ยนหุ้นกับบริษัท อินดัสเทรียล บิลดิ้งส์ คอร์ปอเรชั่น (หรือ IBC) โดย IBC จะเปลี่ยนมาถือหุ้นในเพซ 20.9 % เพื่อแลกกับการถือหุ้นในโครงการมหานครและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit