กรุงเทพฯ--25 ต.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ลูกค้าเฮอีกรอบ ทิสโก้โชว์ผลงานบริหารกองทุนมืออาชีพต่อเนื่อง ปิดกองหุ้นจีน “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 8% # 4” หลังเข้าเป้าหมายที่ 8% เพียง 3 สัปดาห์ ทำลายสถิติเข้าเป้าหมายเร็วสุด ย้ำมุมมอง “ทิสโก้ เวลธ์” แม่นยำ เป็นเพียงไม่กี่รายในตลาดที่แนะให้ลงทุนในหุ้นจีน ขณะที่ส่วนใหญ่แนะเลี่ยง มองตลาดหุ้นจีนยังมาแรงต่อเนื่อง เหมาะลงทุนเพิ่ม
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory, Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ บลจ. ทิสโก้ได้เปิดเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 8% # 4” (TISCO China Trigger 8% Fund # 4) เมื่อกลางเดือน ก.ย. 55 ที่ผ่านมา โดยเป็นกองทาร์เก็ตฟันด์ที่ลงทุนในกองทุน Lyxor ETF China Enterprise (HSCEI) โดยตั้งเป้าหมายสร้างผลตอบแทนไว้ที่ 8% ภายในระยะเวลา 8 เดือน หรือสามารถเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายนั้น ล่าสุด กองทุนดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 8% โดย NAV ของกองทุน ณ วันที่ 22 ต.ค. 55 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 10.8530 บาทต่อหน่วย ทำให้เข้าเงื่อนไขการเลิกโครงการได้ก่อนกำหนด โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ซึ่งนับว่าเป็นกองทุนที่ทำสถิติสร้างผลตอบแทนถึงเป้าหมายโดยใช้ระยะเวลาสั้นที่สุดของทิสโก้ และนับเป็นกองทุนที่ 6 ที่สร้างผลตอบแทนเข้าเป้าหมาย และปิดกองก่อนกำหนดในปีนี้
“การออกกองทาร์เก็ตฟันด์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ได้ตามเป้าหมายนั้น การจับจังหวะลงทุนอย่างแม่นยำมีความสำคัญมาก แตกต่างจากกองทุนทั่วไปที่ซื้อขายได้ทุกวันทำการ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีทีมกลยุทธ์สนับสนุน เพื่อให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้อย่างถูกจังหวะ ซึ่งที่ผ่านมา ทีมกลยุทธ์การลงทุน หรือ Wealth Strategist ของทิสโก้ เวลธ์ ได้แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นจีนมาโดยตลอด โดยมีการประเมินข้อมูลอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทิศทางเศรษฐกิจจีน ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง และปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องแบบเชิงลึก ทำให้เห็นว่าตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งราคาในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยในช่วงที่เราเปิดขายกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 8% # 4 นั้นเป็นจังหวะที่หุ้นจีนมีการย่อตัวลงมาเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาในยุโรป ในตลาดส่วนใหญ่จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยง แต่เรากลับมองว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน เพราะมีโอกาสสูงในการสร้างผลตอบแทนที่ดี ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ และสามารถปิดกองทุนดังกล่าวได้ก่อนครบกำหนด โดยสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 8% ภายใน 3 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นสถิติใหม่ของทิสโก้อีกด้วย”
ด้านนางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ (Miss Vorasinee Sangvornvetphan, Wealth Strategist, TISCO Wealth) ซึ่งเป็นบริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น หลังจากรัฐบาลกลางประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ เพราะโดยทั่วไปสินทรัพย์หรือตลาดฯ ที่จะกลับมาเป็นแหล่งการลงทุน คือ ตลาดที่มีลักษณะผันผวนสูง (High Beta, High Volatility , Low P/BV) จะให้ผลตอบแทนสูงสุด โดยที่ผ่านมาพบว่าตลาดหุ้นจีน อาจจะมีการปรับขึ้น-ลงถึง 20% ใน 1 เดือน ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง อย่างไรก็ดีราคาหุ้นจีนยังอยู่ในระดับที่ถูกมาก ทั้งในแง่ของ P/E และ P/BV ดังนั้นจึงคาดว่าจีนจะยังเป็นเป้าหมายต้นๆ ของการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเห็นได้จากนักวิเคราะห์ต่างชาติหลายๆที่เริ่มมีการแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ซึ่งตรงกับมุมมองของ ทิสโก้ เวลธ์ แล้ว
นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจคือ ตลาดหุ้นจีน (H-Shares) เป็นตลาดหุ้นที่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ สูง โดยจากข้อมูลทางสถิติพบว่า ตลาดหุ้นจีนมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นสหรัฐฯสูงถึง 70% แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของ S&P500 และ HSCEI มักไปในทิศทางเดียวกัน แต่ในปีนี้นักลงทุนกังวลต่อเศรษฐกิจจีน ทำให้ Performance ของ 2 ตลาดฯ แตกต่างต่างกันมาก แต่จากค่า Correlation ดังกล่าว จึงคาดว่าเมื่อนักลงทุนคลายความกังวล ตลาดหุ้นจีนจะปรับขึ้นตาม S&P500 ได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับเมื่อพิจารณาแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในตลาดหุ้น H-Shares พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมหลักเช่น กลุ่มการเงิน ปิโตรเคมีและพลังงาน ซึ่งมีน้ำหนักรวมกันมากกว่า 50% ยังคงมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีนจึงถือว่าค่อนข้างปลอดภัย
“ทิสโก้ เวลธ์ ยังคงคาดว่าการเปลี่ยนผู้นำจีนในช่วงเดือน ต.ค. 2555 – มี.ค. 2556 จะมีเม็ดเงินไหลเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจจีนเป็นจำนวนมาก เพราะที่ผ่านมา ในช่วงถ่ายโอนอำนาจและมีผู้นำใหม่เข้ามา มักจะเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในจีน จะส่งผลบวกโดยตรงกับภาพตลาดหุ้นจีน จากการพิจารณาการเปลี่ยนผู้นำจีน 4 ครั้งล่าสุด พบว่าทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผู้นำจีน ตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีนนับเป็นทางเลือกที่เหมาะสม และแนะนำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นจีน รวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ไม่รวมญี่ปุ่น เพื่อเป็นการสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น” นางสาววรสินีกล่าว
-กภ-
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit