บลจ.แอสเซท พลัส เปิดทางเลือกการลงทุนใหม่ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยเสนอขาย กองทุนเปิดเอควิตี้ลิงค์คอมเพล็กซ์รีเทิร์นคุ้มครองเงินต้น (ASP-EQLCR) คุ้มครองเงินลงทุนเริ่มต้นจากการลงทุนในตราสารภาครัฐไทย ระยะเวลาลงทุนประมาณ 1 ปี โอกาสรับผลตอบแทน 7% จากการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หากราคาปิดสิ้นวันของหุ้นอ้างอิงทั้ง 3 ตัว ณ วันครบกำหนดสัญญา ไม่ต่ำกว่าราคาวันเริ่มต้นลงทุน เสนอขายครั้งเดียวประมาณ 12-17 กรกฎาคม 2555
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า จากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย ทั้งปัญหาในกรีซ และภาคสถาบันการเงินในสเปน ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปหดตัวมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมทั้งเศรษฐกิจเอเชียที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีน ทำให้ที่ผ่านมารัฐบาลประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกใช้มาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จนส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย อยู่ในระดับต่ำ
โดยสำหรับประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงจากปัญหาเศรษฐกิจในยุโรป ทำให้ ธปท. จะดำเนินนโยบายในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำที่ 3% ในปีนี้ และจะติดตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
นางลดาวรรณ กล่าวว่า ทั้งนี้ จากการที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ ได้ส่งผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ปรับตัวลดลงจนอาจไม่จูงใจนักลงทุน ดังนั้น สำหรับผู้ลงทุนที่แสวงหาช่องทางการลงทุนที่สร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก ในระดับความเสี่ยงที่ไม่สูง และต้องการความปลอดภัยของเงินต้น โดยประมาณวันที่ 12-17 กรกฎาคม นี้ บริษัทฯ จะเสนอขาย กองทุนเปิดเอควิตี้ลิงค์คอมเพล็กซ์รีเทิร์นคุ้มครองเงินต้น (ASP-EQLCR) ซึ่งเป็นกองทุนผสม ที่เน้นลงทุนในตราสารภาครัฐไทย ประมาณ 97% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน (NAV) โดยมีเป้าหมายให้เงินลงทุนในส่วนนี้เติบโตเป็น 100% ของ NAV ส่งผลให้ผู้ลงทุนได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบอายุโครงการ และเงินลงทุนส่วนที่เหลือประมาณ 3% ของ NAV จะลงทุนในสัญญาออปชั่น ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับการเปลี่ยนแปลงของราคาของ 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และ บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC)
ทั้งนี้ ในการจ่ายผลตอบแทนกองทุนมีเงื่อนไขว่า ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 7% หากราคาปิดสิ้นวันของทั้ง 3 หลักทรัพย์ ณ วันครบกำหนด มากกว่า หรือ เท่ากับ ราคาปิดสิ้นวันของหลักทรัพย์นั้น ๆ ณ วันเริ่มลงทุน โดยกองทุนมีระยะเวลาการลงทุนประมาณ 1 ปี แต่หากราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งต่ำกว่าวันเริ่มต้น ผู้ลงทุนจะได้รับเงินลงทุนเริ่มต้นคืนเต็มจำนวน
นางลดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่เลือกหุ้น 3 ตัวนี้ เนื่องจาก บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 55% และจำนวนสาขามากกว่า 6,600 สาขา ทั้งนี้ CPALL มีผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 45% ซึ่งสูงสุดในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน ขณะที่ธุรกิจยังมีแนวโน้มเติบโตจากการใช้จ่ายของภาคการบริโภคในประเทศ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ “7-Eleven” ซึ่งคาดการณ์กำไรสุทธิ จะเพิ่มขึ้น 34% ในปี 2555 และประมาณ 19% ในปี 2556 จากการเติบโตของรายได้ในการขยายสาขาที่มีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง รวมถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายอาหารพร้อมรับประทาน และอาหารแช่เย็นสำเร็จรูป ซึ่งมีอัตรากำไรสูง โดยราคาเป้าหมายของหุ้น CPALL ตามปัจจัยพื้นฐานในระยะ 1 ปีข้างหน้าอยู่ในระดับ 36.64 บาท
บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารทั้งในประเทศ และต่างประเทศปัจจุบันบริษัทฯ มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) อยู่เพียง 10.84 เท่า ซึ่งต่ำกว่า P/E ratio ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 17 เท่า โดยคาดว่าราคาตามปัจจัยพื้นฐานจะอยู่ที่ระดับเท่ากับราคาที่ 45 บาท / หุ้น จากทิศทางผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการรับรู้ผลบวกจากการผนึกกำลังทางธุรกิจกับ CP Pokaphand (CPP) และ Charoen Pokaphand Vietnam (CPV) เข้ามาเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาส 2/55 เป็นต้นไป รวมถึงความคาดหวังในเรื่องผลสรุปการทำ M&A รอบใหม่ ซึ่งอาจทำให้มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิ และมูลค่าพื้นฐานใหม่อีกครั้ง ซึ่งการการผนึกกำลังทางธุรกิจนี้ จะทำให้ CPF เป็นบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียทั้งในด้านมูลค่าตลาดและรายได้ และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ในโลก และมีเสถียรภาพในด้านราคาของต้นทุนวัตถุดิบ รวมถึงการกระจายรายได้และธุรกิจ
บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ประกอบธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์, ธุรกิจการกลั่นน้ำมันและจัดหาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูป, และธุรกิจการให้บริการและอื่น ๆ ซึ่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังมีมุมมองเชิงบวกจากการที่จีนกลับมาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในประเทศอีกครั้ง ซึ่งจะผลักดันให้ความต้องการปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคา และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ให้ปรับตัวสูงขึ้นในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า หากสถานการณ์ทางด้านอุปสงค์กลับสู่สภาวะปกติ เนื่องจากปัจจัยกดดันจากอุปทานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดมีแนวโน้มลดลงในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ และเป็นปัจจัยหนุนต่อการดีดตัวขึ้นของราคา ในด้านการประเมินมูลค่าพื้นฐานของ PTTGC ณ สิ้นปี 2555 จาก P/E Ratio ประมาณ 8.5 เท่า เท่ากับราคาเป้าหมายที่ 75.60 บาท/หุ้น โดยในปัจจุบันมี P/E Ratio อยู่เพียง 7 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่สูงถึง 12 เท่า รวมถึง บริษัทยังมีศักยภาพในการเติบโตจากแนวโน้มกำไรปกติทั้งปี 2555 ยังทรงตัวได้ระดับสูงใกล้เคียงปี 2554 แม้ว่าราคาและส่วนต่างกำไรของผลิตภัณฑ์จะอ่อนตัวอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีแรกปี 2555 แต่คาดว่าในส่วนของปริมาณการผลิตและจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นส่วนชดเชย เช่น โรงงานโอเลฟินส์ (PTTPE) ที่เริ่มเต็มกำลังการผลิต
“ทั้งนี้ จากความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของทีมผู้จัดการกองทุน และทีมบริหารความเสี่ยงของบริษัทฯ ในด้านการบริหารเงินลงทุน และการคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโต ทำให้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า กองทุน ASP-EQLCR นี้ จะสามารถสร้างโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทน 7% ใน 1 ปี (หากราคาหุ้น 3 ตัวปรับตัวมากกว่า หรือเท่ากับราคาปิด ณ วันเริ่มลงทุน) ซึ่งเป็นผลตอบแทนเป้าหมายที่จูงใจผู้ลงทุน เมื่อเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี ที่ได้รับผลตอบแทนประมาณ 3% ต่อปี โดยผู้ลงทุนไม่มีความเสี่ยงในการสูญเสียเงินต้น แต่ลุ้นเพียงผลตอบแทนเท่านั้น”นางลดาวรรณ กล่าว
ที่มา : ข้อมูลตัวเลขจาก Bloomberg Consensus-กภ-
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติถึง 5 รางวัล จากงาน Best of the Best Awards 2025 ได้แก่ รางวัล Best Asset Management Company (30 Years), Best Asset Management Firm for Digital Marketing, Best Alternatives Manager, Best ESG Manager และ Best Multi-Asset Manager ทั้งนี้ รางวัลที่ บลจ.กสิกรไทย ได้รับทั้ง 5 สาขา แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บลจ.กสิกรไทย ในการพัฒนาและนำเสนอบริการด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ครอบคลุมและมีคุณภาพ รวมถึงการปรับตัว
18 เมษายน 2568 16:16 น.