ภาคีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจับมือหาทางต้านโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย 10 รายการภายในปี 2020

31 Jan 2012

ลอนดอน--31 ม.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์


ภาคีตั้งมั่นอาศัยการร่วมมือกันของนานาประเทศในมิติใหม่เพื่อเป้าหมายใหม่ขององค์การอนามัยโลก


วันนี้ บริษัทเภสัชกรรม 13 แห่ง รัฐบาลสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์ (The Bill & Melinda Gates Foundation) ธนาคารโลกและองค์การอนามัยสากลอื่นๆ ได้ประกาศแผนร่วมผลักดันใหม่เพื่อเร่งความคืบหน้าในการขจัดหรือควบคุมโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย (NTD) ภายในปลายทศวรรษนี้

ภายใต้ความพยายามร่วมกับประเทศที่ยังมีโรคในกลุ่ม NTD เป็นโรคประจำถิ่น ภาคีได้ให้คำมั่นว่าจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการขจัดโรคเหล่านี้และทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ได้รับผลกระทบจาก NTD 1.4 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก

ในความพยายามร่วมกันในการต่อสู้กับ NTD ครั้งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน ทางภาคีได้ประกาศในงานของราชวิทยาลัยแพทย์ว่า พวกเขาจะดำเนินการสนับสนุนหรือขยายโครงการบริจาคยาที่มีอยู่เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการภายในปี 2020 จะแบ่งปันความรู้และสูตรต่างๆเพื่อเร่งการวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ และจัดสรรทุนกว่า 785 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนและเพิ่มความเข้มแข็งในโครงการจำหน่ายและใช้ยา ทั้งนี้กลุ่มภาคีได้ร่วมลงนามใน "ปฏิญญาลอนดอนว่าด้วยโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย" พร้อมให้คำมั่นเรื่องการยกระดับความพยายามร่วมกันและการติดตามความคืบหน้า

"วันนี้ เราได้มารวมตัวกันเพื่อเพิ่มพูนผลการลงทุนของเราและสร้างความคืบหน้าครั้งใหญ่ให้กับโลกปัจจุบัน" บิล เกตส์ ประธานร่วม มูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์ กล่าว "หลักการปฏิรูปนี้จะทำหน้าที่เป็นแผนแม่แบบในการแก้ปัญหาการพัฒนาระดับโลกอื่นๆ และจะช่วยให้ประชากรหลายล้านคนสามารถพึ่งพาตัเองได้และไม่จำเป็นต้องรอรับความช่วยเหลืออีก " โดยทางมูลนิธิประกาศให้ทุนระยะห้าปีจำนวน 363 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ NTD และงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ

สัปดาห์นี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เผยยุทธศาสตร์ใหม่ในความพยายามต่อสู้กับ NTD การเร่งดำเนินงานเพื่อคลี่คลายผลกระทบของโรคเขตร้อนที่ถูกละเลยในระดับโลก - แผนกลยุทธ์สำหรับการปฏิบัติงาน ซึ่งกำหนดเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้ภายในปลายทศวรรษนี้

"ความพยายามของ WHO นักวิจัย กลุ่มภาคีและความร่วมมือของภาคอุตสาหกรรมได้พลิกโฉมหน้าของ NTD โรคโบราณเหล่านี้กำลังถูกสยบลงอย่างรวดเร็ว" ดร.มาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการใหญ่ WHO กล่าว "ด้วยอัตราการเร่งผลักดันในปัจจุบัน ดิฉันเชื่อว่าเราจะสามารถขจัดหรือควบคุมโรคเหล่านี้ได้เกือบทั้งหมดภายในปลายทศวรรษนี้"

ความร่วมมือครั้งใหม่ของภาคจะช่วยอุดช่องว่างเรื่องงบประมาณในการกำจัดโรคพยาธิกินีและเร่งความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายของปี 2020 ในการขจัดโรคเท้าช้าง โรคริดสีดวงตา โรคเหงาหลับและโรคเรื้อน และการควบคุมพยาธิที่ติดต่อทางดิน โรคพยาธิใบไม้ในเลือด โรคตาบอดแถบแม่น้ำ โรคชากัสและโรคลิชมาเนีย

ตัวแทน CEO ของบริษัทเภสัชกรรมที่เข้าร่วมทั้ง 13 แห่ง เซอร์แอนดรูว์ วิทตี CEO บริษัทแกล็กโซสมิทไคล์นกล่าวว่า "บริษัทและองค์กรหลายแห่งได้มุ่งมั่นทำงานมากว่าทศวรรษเพื่อสู้โรคร้ายเหล่านี้ แต่ไม่มีบริษัทหรือองค์กรใดจะทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว วันนี้เราได้ให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกันทำงานเพื่อปฏิรูปหนทางในการต่อกรกับโรคดังกล่าวนับแต่นี้เป็นต้นไป"

สมาพันธ์ผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์นานาชาติ (IFPMA) กล่าวว่า บริษัทต่างๆจะบริจาคยาให้กับผู้ที่ขาดแคลนจำนวนเฉลี่ย 1.4 พันล้านต่อปีตามคำมั่นใหม่และคำมั่นเดิมที่ให้ไว้ นอกจากนี้ความพยายามร่วมกันครั้งใหม่ในการวิจัยและพัฒนาและข้อตกลงการเข้าถึงระหว่างบริษัททั้ง 11 แห่งและโครงการพัฒนายาสำหรับโรคที่ถูกละเลย (DNDi) ขององค์กรวิจัยและพัฒนาจะปฏิรูปการเข้าถึงคลังข้อมูลสูตรยาที่จะช่วยนำไปสู่การรักษาใหม่ๆได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยจะดำเนินความร่วมมือควบคู่กับความพยายามอื่นๆในการเร่งการพัฒนายารักษา NTD ที่สำคัญ รวมถึง WIPO Re:Search ฐานข้อมูลสูตรการวิจัย ความรู้และความเชี่ยวชาญ

ชีค คาลิฟา บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมูลนิธิกองทุนเพื่อเด็ก จะบริจาคเงินกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับศูนย์คาร์เตอร์์ เพื่ออุดช่องว่างเรื่องงบประมาณในการกำจัดโรคพยาธิกินี ซึ่งเป็นการตอบรับคำปฏิญาณเดือนตุลาคมของกระทรวงการพัฒนาระหว่างประเทศ (DFID) แห่งสหราชอาณาจักร ที่ให้คำมั่นว่าหากมีผู้อื่นเข้าร่วม จะมอบเงินสมทบจำนวน 20 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทุนระยะสี่ปีจำนวน 195 ล้านปอนด์สำหรับ NTD ที่ทาง DFID ประกาศไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทางองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ก็ออกมาประกาศว่า รัฐสภาของสหรัฐฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อส่งเสริมโครงการจำหน่ายและส่งมอบยารักษาโรค เพิ่มจากเงินทุนจำนวน 212 ล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2006 นอกจากนี้ธนาคารโลกจะเพิ่มการสนับสนุนทางเทคนิคและการเงินเพื่อช่วยประเทศในแอฟริกาเสริมสร้างระบบอนามัยของชุมชนให้เข้มแข็ง ซึ่งจะครอบคลุมถึงการขจัดและควบคุม NTD เช่นเดียวกับการทำงานร่วมกับสมาชิกภาคีเพื่อขยายกองทุนทรัสต์เพื่อสู้กับโรคตาบอดแถบแม่น้ำไปจนถึงโรคในกลุ่ม NTD อื่นที่สามารถป้องกันได้ในแอฟริกา

"โลกได้ร่วมมือกันเพื่อยุติการเพิกเฉยต่อโรคร้ายเหล่านี้ ซึ่งทำให้ผู้คนหลายล้านในประเทศที่ยากจนที่สุดของโลกต้องทุพพลภาพ ตาบอดและเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น" สตีเฟน โอเบรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักรกล่าว "สหราชอาณาจักรและสมาชิกภาคีได้ร่วมมือกันแผ้วถางหนทางเพื่อให้การรักษาที่สำคัญแก่ผู้คนหลายล้านคน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เด็กๆได้ไปโรงเรียนและผู้ปกครองได้หาเลี้ยงครอบครัว เพื่อให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากความยากจนและพึ่งพาตัวเองได้ในที่สุด"

คำปฏิญาณและปฏิญญาในวันนี้มีขึ้นเพื่อตอบรับรายงานปี 2010 ของ WHO การดำเนินงานเพื่อคลี่คลายผลกระทบของโรคเขตร้อนที่ถูกละเลยในระดับโลก ซึ่งร้องขอขุมทรัพยากรใหม่ๆเพื่อต่อสู้กับ NTD ตัวแทนจากอุตสาหกรรมเภสัชกรรม มูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์และพันธมิตรอื่นๆ ได้ร่วมกันทำงานในปีที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาความพยายามรวมกันในวงกว้างนี้

รัฐบาลบังกลาเทศ บราซิล โมซัมบิกและแทนซาเนีย ซึ่งมี NTD เป็นโรคประจำถิ่น ได้ประกาศว่าประเทศของตนจะบังคับใช้แผนบูรณาการเพื่อขจัด NTD และจะทุ่มเททรัพยากรทางการเงินและการเมืองเพื่อสู้กับโรคร้ายดังกล่าว สมาชิกภาคีทั้งหมดได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการหากลไกสำหรับการติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการตามเป้าหมายปี 2020 อย่างสม่ำเสมอ

"นับตั้งแต่หลักฐานที่แสดงให้เห็นภาระเรื่อง NTD อันหนักหน่วงในโมซัมบิกเป็นที่ประจักษ์ รัฐบาลโมซัมบิกได้ดำเนินมาตรการจัดการและเพิ่มการสนับสนุนและการลงทุนเพื่อควบคุมหรือกำจัดโรคเหล่านี้เรื่อยมา" ดร. อเล็กซานเดร แมนกวิเล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแห่งโมซัมบิก กล่าว "ด้วยทรัพยากรที่ได้รับการสนับสนุนในบริบทของภาคีความร่วมมือในปัจจุบัน รัฐบาลโมซัมบิกเชื่อมั่นยิ่งกว่าครั้งใดว่าภารกิจนี้จะลุล่วงไปด้วยดี "


พันธกิจเฉพาะของสมาชิคภาคีที่ประกาศวันนี้ ได้แก่


การสนับสนุน ขยายขอบเขตและยืดเวลาการแจกจ่ายยา


* ทุกบริษัทในโครงการบริจาคยารักษา NTD ให้คำมั่นว่าจะรักษาหรือยืดเวลาโครงการของตนออกไปให้ถึงปลายทศวรรษ ขณะที่บางบริษัทได้ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการสนับสนุนด้วย ซึ่งการสนับสนุนดังกล่าวรวมถึง

- ซาโนฟี่ เอไซ และมูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์ จะร่วมกันบริจาคยา DEC 120 ล้านเม็ดให้กับ WHO สำหรับโครงการบำบัดโรคเท้าช้างทั่วโลก เมื่อนำไปรวมกับพันธะในการบริจาคของเอไซที่จะเริ่มตั้งแต่ปี 2014 ยาใหม่เหล่านี้จะเข้ามาช่วยเสริมให้มีปริมาณยา DEC เพียงพอในช่วงปี 2012 ถึง 2020

- ไบเออร์จะบริจาคยาไนเฟอร์ไทมอกซ์สำหรับรักษาโรคชากัสเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

- เอไซจะยืดเวลาการบริจาคยา DEC สำหรับรักษาโรคเท้าช้างจำนวน 2.2 พันล้านเม็ดออกไปจนถึงปี 2020

- ไกลีด ซึ่งประกาศว่าจะบริจาคยาแอมบิโซมสำหรับรักษาโรคลิชมาเนีย (VL) ในปี 2011 จะดำเนินโครงการจำหน่ายยารักษา VL ในราคาต้นทุนต่อไปและจะศึกษาและลงทุนในเทคโนโลยีและกระบวนการที่อาจช่วยลดต้นทุนในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดได้

- แกล็กโซสมิทไคล์นจะขยายเวลาการบริจาคยาอัลเบนดาโซลสำหรับรักษาพยาธิที่ติดต่อทางดินจำนวน 400 ล้านเม็ดต่อปี เพิ่มอีกห้าปีจนถึงปี 2020 และจะยังคงบริจาคยาสำหรับรักษาโรคเท้าช้างปีละ 600 ล้านเม็ดต่อไป

- จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันจะขยายเวลาการบริจาคยามีเบนดาโซลสำหรับรักษาพยาธิที่ติดต่อทางดิน จำนวน 200 ล้านเม็ดต่อปี ออกไปจนถึงปี 2020

- MSD จะยังคงบริจาคยาไอเวอร์เมคตินสำหรับรักษาโรคตาบอดแถบแม่น้ำและโรคเท้าช้าง (ในพื้นที่ที่มีโรคทั้งสองชนิดเป็นโรคประจำถิ่น) แบบไม่จำกัดจำนวนต่อไป และจะศึกษาการใช้ยาไอเวอร์เมคตินในการรักษาโรคอื่นๆ

- หจก. เมอร์ค จะเพิ่มจำนวนการบริจาคยาพราซิควอนเทลจาก 25 ล้านเม็ดเป็น 250 ล้านเม็ดต่อปี โดยจะขยายเวลาของโครงการออกไปแบบไม่มีกำหนด

- โนวาร์ตีสจะขยายเวลาการบริจาคยารักษาโรคเรื้อน (ไรแฟมพิซิน คลอฟาซิมีนและแดปโซน) ให้กับผู้ป่วยโรคเรื้อนระยะสุดท้าย

- ไฟเซอร์จะยังคงบริจาคยาอะซิโทรมัยซินสำหรับรักษาโรคริดสีดวงตาต่อไปจนถึงปี 2020 เป็นอย่างน้อย และจะบริจาคยาและยาหลอกเพื่อการศึกษาอัตราการเสียชีวิตที่ลดลงของเด็กที่ได้รับการรักษาด้วยยาอะซิโทรมัยซิน

- ซาโนฟี่จะขยายเวลาในการบริจาคยาอีฟลอร์นิทีน มีลาโซโพรลและเพนตามิดีน สำหรับรักษาโรคเหงาหลับ ออกไปจนถึงปี 2020 และจะให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์เพื่อให้แน่ใจว่ายาจะถึงมือผู้ป่วยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย


การเร่งวิจัยและพัฒนาวิธีการรักษาใหม่ๆ


* ภาคีความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง DNDi กับแอ๊บบอต จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และไฟเซอร์ กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนายาตัวใหม่สำหรับรักษาการติดเชื้อพยาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามาโครฟิลาริไซด์ ที่ฆ่าหนอนพยาธิเต็มวัย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตาบอดแถบแม่น้ำและโรคเท้าช้าง

- แอ๊บบอตกำลังทำการศึกษาการปรับเปลี่ยนสูตรยาเบื้องต้นและให้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์สำหรับการพัฒนาระยะก่อนทดสอบในคน ภายใต้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและทรัพยากรจากจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

- ซึ่งหากการพัฒนาระยะก่อนทดสอบในคนสำเร็จ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันจะร่วมลงทุนในการพัฒนาระยะการทดสอบในคน และจะทำงานร่วมมือกับพันธมิตรอื่น รวมถึงรับการสนับสนุนทางเทคนิคจากนักวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันจะได้รับอนุญาตตามกฎหมาย

* การออกใบอนุญาตนวัตกรรมหรือข้อตกลงความร่วมมือระหร่าง DNDi กับบริษัท 11 แห่ง ได้แก่ แอ๊บบอต, แอสตร้าเซนเนก้า, เบเยอร์, บริสตอล-ไมเยอร์สสควิบบ์, เอไซ, แกล็กโซสมิทไคล์น, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, MSD, โนวาร์ตีส, ไฟเซอร์ และซาโนฟี่ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาหรืออยู่ในระหว่างการแบ่งปันสูตรและความรู้เพื่อผลิตยาตัวใหม่สำหรับรักษาโรคตาบอดแถบแม่น้ำ โรคเท้าช้าง โรคเหงาหลับ โรคชากัสและโรคลิชมาเนีย

* DNDi และซาโนฟี่ได้ประกาศความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อคิดค้นยาทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคเหงาหลับ ออกซาโบโรล/SCYX-7158 นอกเหนือจากเฟกซินิดาโซล ซึ่งพัฒนาถึงระยะการทดสอบในคนแล้ว


การเพิ่มเงินทุนเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ยาและการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โครงการจำหน่ายและใช้ยา รวมถึงการป้องกัน การเฝ้าระวังและการศึกษา


* สมาชิกภาคีส่วนหนึ่งได้ประกาศการจัดสรรทุนให้กับศูนย์คาร์เตอร์ใหม่ร่วม 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มช่องว่างในการกำจัดโรคพยาธิกินี โดยมูลนิธิเกตส์จะสนับสนุนเงินจำนวน 23.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ชีค คาลิฟา บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมูลนิธิกองทุนเพื่อเด็ก จะบริจาคเงินจำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลนิธิกองทุนเพื่อเด็กจะบริจาคเงินจำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

* การให้ทุนนี้จะช่วยเติมเต็มข้อกำหนดการสนับสนุนเงินจำนวน 20 ล้านปอนด์จาก DFID ซึ่งประกาศไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาสนับสนุนเงินจำนวน 195 ล้านปอนด์จนถึงปี 2015 ที่มีเป้าหมายอยู่ที่โรคพยาธิกินี โรคเท้าช้าง โรคตาบอดแถบแม่น้ำและโรคพยาธิใบไม้ในเลือด รวมถึงการพัฒนาโครงการใหม่สำหรับโรคริดสีดวงตาและโรคลิชมาเนีย การวิจัยและการบูรณาการหลักการของแต่ละประเทศ

* มูลนิธิเกตส์ประกาศแผนสนับสนุนเงินจำนวน 363 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลา 5 ปี เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคสู่ความสำเร็จและเติมเต็มช่องว่างในการควบคุมและกำจัด NTD เป้าหมายภายในปี 2020

* USAID จะยังคงให้การสนับสนุนประเทศต่างๆกว่า 20 ประเทศ เพื่อริเริ่มและ/หรือขยายโครงการ NTD บูรณาการ รวมถึงสามประเทศที่เพิ่มมาใหม่ ได้แก่ โมซัมบิก เซเนกัลและกัมพูชา รัฐสภาของสหรัฐฯ ได้จัดสรรงบ 89 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับ USAID เพื่อการควบคุม NTD ในปีงบประมาณ 2012

* ในระดับประเทศ ธนาคารโลกจะขยายการสนับสนุนทางการเงินและทางเทคนิคเพื่อช่วยเหลือประเทศต่างๆในการสร้างระบบอนามัยของชุมชนให้เข้มแข็ง ซึ่งจะครอบคลุมถึงการขจัดและควบคุม NTD ในระดับภูมิภาค ธนาคารโลกจะยังคงควบคุมกองทุนทรัสต์ที่ให้การสนับสนุนการต่อสู้โรคตาบอดแถบแม่น้ำในแอฟริกา และจะทำงานร่วมกับสมาชิกภาคีในการขยายกองทุนทรัสต์เพื่อกำจัดหรือควบคุม NTD ที่ป้องกันได้ในทวีป

* มุนโด ซาโน สนับสนุนเงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อขยายขอบเขตงานปรับปรุงโครงการและการควบคุม NTD สำหรับพื้นที่ที่ได้รับเลือกในอเมริกาและแอฟริกา

* รัฐบาลโมซัมบิกประกาศเป้าหมายเฉพาะสำหรับการควบคุมและกำจัด NTD ในท้องถิ่นที่มีโรคของประเทศ ได้แก่

- ครอบคลุมท้องถิ่นที่มีโรคเท้าช้าง พยาธิที่ติดต่อทางดินและโรคพยาธิใบไม้ในเลือดอย่างทั่วถึ่ง

- ทำผังและครอบคลุมแหล่งที่มีโรคริดสีดวงตาอย่างทั่วถึงภายในปี 2018

- สร้างศักยภาพในการควบคุมดูแลและดำเนินการเพื่อรักษาผลประโยชน์จากโครงการยาสำหรับจ่ายรักษากลุ่ม

* รัฐบาลบราซิล แทนซาเนีย บังกลาเทศและประเทศที่มีโรค NTD เป็นโรคประจำถิ่นอื่นๆ ได้ประกาศบังคับใช้แผนบูรณาการหรือแผนความร่วมมือฉบับสมบูรณ์เพื่อควบคุมและกำจัด NTD ในประเทศของตน

* บริษัทเภสัชกรรมสามแห่ง ได้แก่ หจก.เมอร์ค บริษัทโนวาร์ตีส และบริษัทซาโนฟี่ จะจัดสรรและมอบทุนเพื่อสนับสนุนการป้องกัน การเฝ้าระวัง การศึกษาและความพยายามควบคุมโรคร้าย

* สโมสรไลออนส์สากล ประกาศมอบเงินทุน 6.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนความพยายามของรัฐบาลจีนในการกำจัดโรคริดสีดวงตาให้ได้ภายในปี 2017


การประสานงานและวัดประเมินพันธกิจด้าน NTD ภาคีภาคอุตสาหกรรมจะร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายปี 2020 ตามแผนของ WHO ภาคีจะติดตามความคืบหน้าโดยรวมจากบัตรคะแนน ซึ่งจะติดตามความคืบหน้าอย่างเป็นทางการโดยสม่ำเสมอ รวมถึงตรวจสอบว่าองค์กรที่เข้าร่วมได้บรรลุพันธสัญญาในการจัดหายา การวิจัย การให้ทุนและการดำเนินงานตามเป้าหมายปี 2020 หรือไม่ กระบวนการนี้จะช่วยรับประกันความรับผิดชอบและความโปร่งใสและระบุช่องว่างที่เหลืออยู่


ผู้แถลงการณ์ในงาน ณ ราชวิทยาลัยแพทย์วันนี้ ได้แก่


- ดร.มาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก

- บิล เกตส์ ประธานร่วม มูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์

- สตีเฟน โอเบรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหราชอาณาจักร

- ดร. เอเรียล พาโบลส-เมนเดซ ผู้ช่วยฝ่ายบริหารอนามัยโลก องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

- ดร.จอร์ก ไรน์ฮาร์ด ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไบเออร์ เฮลธ์แคร์ (มหาชน) จำกัด

- แลมเบอร์โต แอนดรอตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริสตอล-ไมเยอร์ สควิบบ์

- ฮารุโอะ ไนโตะ ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอไซ

- เซอร์แอนดรูว์ วิทตี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแกล็กโซสมิทไคล์น

- วิลเลียม เวลดอน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

- เคนเนธ ฟราเซียร์ ประธานกรรมการ ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท MSD

- ดร. สเตฟาน ออสแมน กรรมการบริหาร หจก.เมอร์ค ผู้รับผิดชอบฝ่ายธุรกิจเภสัชกรรม

- โจเซฟ จิเมเนซ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโนวาร์ตีส

- คริสโตเฟอร์ เอ. วีแบชเชอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซาโนฟี่

- พอล คาร์เตอร์ รองประธานอาวุโส ฝ่ายธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัทไกลีด

- ดร. เบอร์นาร์ด พีโคล กรรมการบริหาร โครงการพัฒนายาสำหรับโรคที่ถูกละเลย

- ดร. แคโรลีน แอนสตี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารโลก

- ดร. เอเอฟเอ็ม รูฮาล เฮก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการครอบครัว บังกลาเทศ

- จาร์บาส บาร์บอซา ดา ซิลวา จูเนียร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการควบคุมงานสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข บราซิล

- ดร. อเล็กซานเดร ลอเรนโซ เจม แมนกวิเล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โมซัมบิก

- ดร. โดนัน มมบันโด ผู้อำนวยการงานบริการป้องกัน กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม แทนซาเนีย


สามารถดูบันทึกการถ่ายทอดงานกิจกรรมได้ทางเว็บไซต์ www.UnitingToCombatNTDs.org


NewsMarket: http://www.thenewsmarket.com/gatesfoundation


ที่มา Global Health Strategies


ติดต่อ: วิคเตอร์ โซนานา บริษัท Global Health Strategies โทร. +44(0)75-5380-9731 อีเมล [email protected]; หมายเหตุ: ติดต่อสมาชิกภาคี: มูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์: โทร.+1-206-709 3400 อีเมล [email protected] DFID: โรเบิร์ต สแตนส์ฟีลด์ โทร. +44(0)77-7165-2597 อีเมล [email protected] USAID: คริสโตเฟอร์ โทมัส โทร. +1-202-712-1092 อีเมล [email protected] แอสตร้าเซนเนก้า: ซาร่า ลินด์กรีน โทร.+44(0)20-7604-8033 อีเมล [email protected] แอ๊บบอต: คอลิน แมคบีน โทร. +1-847-938 3083 อีเมล [email protected] บมจ.ไบเออร์ เฮลธ์แคร์: โอลิเวอร์ เรนเนอร์ โทร. +49(0)21-4304-3302 อีเมล [email protected] บริสตอล-ไมเยอร์ สควิบบ์: แพทริซ แกรนด์ โทร.+33(0)1-5883-6706 อีเมล [email protected] เอไซ: เครสซิดา รอบสัน โทร.+44(0)79-0831-4155 อีเมล [email protected] ไกลีด: เอมี่ ฟลัด โทร. +1-650-522-5643 อีเมล [email protected] แกล็กโซสมิทไคล์น (โกลบอล): สตีเฟน รีอา โทร. +44(0)77-1780-1794 อีเมล [email protected] | แกล็กโซสมิทไคล์น (อเมริกา): ซาร่า อัลส์พาช โทร. +1-215-287-6354 อีเมล [email protected] จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, ซีมา คูมาร์ โทร. +1-908-218-6460 อีเมล [email protected] หจก.เมอร์ค: ดร. แกงกอล์ฟ ชริมฟ์ โทร. +49(151)1454-9591 อีเมล [email protected] MSD: เคลลี่ โดเฮอร์ตี โทร. +1-908-423-4291 อีเมล [email protected] โนวาร์ตีส: เอริค อัลทอฟฟ์ โทร. +41(0)61-324-7999 อีเมล [email protected] ไฟเซอร์: แอนดรูว์ โทเพน โทร. +44(0)79-6775-7688 อีเมล [email protected] ซาโนฟี่: ฌอง-มาร์ค พ็อดวิน โทร.+33(0)6-7457-5170 อีเมล [email protected] DNDi: กาเบรียล แลนดรี แชพพวิส โทร.+41(0)79-309-3910 อีเมล [email protected] ธนาคารโลก: ดีเรค วอร์เรน โทร. +44(0)20-7592-8402 อีเมล [email protected]